โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
โปรแกรมฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาโดยมาตรฐานระดับโลกกับอาจารย์แพทย์

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องรู้และเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลเบื้องต้น สำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้ทราบถึงเรื่องต้องรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ข้อดีข้อเสีย ได้เข้าใจถึงการเลือกฟิลเลอร์ใช้กับใต้ตาแต่ละยี่ห้อให้เหมาะสม และได้เตรียมตัวก่อน-หลังฉีดอย่างถูกต้องพื่อผลลัพธ์ที่พึงพอใจ

จากสถิติการเสริมความงาม การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ เพราะช่วยลดความหมองคล้ำ เพิ่มความกระจ่างใส ให้ดวงตาดูโตขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด และยังเห็นผลได้ยาวนานถึง 1-2 ปีอีกด้วย  โดยบทความฟิลเลอร์ใต้ตานี้ เขียนขึ้นเพื่ออยากให้ผู้อ่านได้รับข้อมูล และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา RWC Clinic ได้รวบรวมมาไว้ให้ให้บทความนี้แล้วค่ะ

ฟิลเลอร์ใต้ตา
เลือกอ่านตามหัวข้อ

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร

ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การเติมเต็มและแก้ไขปัญหารอบดวงตา อย่าง ถุงใต้ตา ใต้ตาคล้ำลึก ขอบตาดำ ดูซูบโทรมคล้ายคนพักผ่อนไม่เพียงพอ ด้วยสาร Hyaluronic Acid หรือ HA ฟิลเลอร์ที่เลียนแบบสารในร่างกายของมนุษย์ มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ กักเก็บความชุ่มชื้นใต้ผิวหนัง ปลอดภัยสูง ซึ่งจะสลายไปเองตามธรรมชาติภายใน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับชนิดและยี่ห้อ) ไม่เหลือสารตกค้างในร่างกาย

นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ใต้ตายังมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ช่วยเสริมความยืดหยุ่น กระชับ ลดเลือนริ้วรอยในระยะยาว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

สาร HA หรือฟิลเลอร์ นั้นมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและกักเก็บความชุ่มชื้นใต้ผิวหนังได้ดี สำหรับบริเวณใต้ตา ฟิลเลอร์จะช่วยเรื่องอะไรบ้าง มีดังนี้ค่ะ

  • ถุงใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ถุงใต้ตา

ปัญหาถุงใต้ตา เกิดจากการสะสมของไขมันหรือน้ำที่ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาบวมขึ้น สาเหตุอาจเกี่ยวกับพันธุกรรม การนอนไม่พอ หรืออายุที่เพิ่มขึ้น การรักษาโดยฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยเติมเต็มบริเวณใต้ตาที่ยุบลงจากการสูญเสียไขมันได้ ช่วยลดการปรากฏของถุงใต้ตาด้วยการปรับระดับผิวให้เรียบเนียนขึ้น เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่อยากแก้ไขปัญหาถุงใต้ตา แต่ไม่อยากได้รับการผ่าตัด เว้นถ้าต้องการความถาวร การผ่าตัดจะให้ผลลัพธ์ที่ถาวรกว่า

  • ร่องใต้ตา

ฟิลเลอร์ฉีดร่องใต้ตา

ร่องใต้ตา มีลักษณะที่ผิวหนังใต้ตามีร่องลึก อาจเกิดจากการสูญเสียไขมันบริเวณรอบดวงตาและผิวหนังที่หย่อนคล้อย การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะช่วยเติมเต็มร่องลึกทำให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น

  • ใต้ตาคล้ำ

ฉีดใต้ตาคล้ำ

ใต้ตาคล้ำ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ พันธุกรรม หรือการสะสมของเม็ดสี การรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แม้ฟิลเลอร์จะไม่สามารถแก้ไขสาเหตุของอาการคล้ำโดยตรงได้มาก แต่ฟิลเลอร์สามารถช่วยให้บริเวณใต้ตาดูสว่างโดยการเพิ่มปริมาณและสะท้อนแสงให้ดีขึ้นได้

  • ใต้ตาบวม

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาบวม

บางครั้งบริเวณใต้ตาที่บวม อาจมาจากการสะสมของน้ำ การแพ้ หรืออาการบาดเจ็บ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจช่วยลดการปรากฏของการบวมใต้ตาได้ในบางกรณี โดยการปรับปรุงความเรียบเนียนของผิว แต่จำเป็นต้องประเมินโดยแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

  • ผลลัพธ์อื่น ๆ

ฟิลเลอร์ใต้ตาผลลัพธ์อื่น ๆ

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา นอกจากช่วยแก้ไขปัญหาที่เฉพาะเจาะจงแล้ว แต่ยังมีส่วนช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ทั่วไปของบริเวณใต้ตา ทำให้ดูมีสุขภาพดีขึ้น อ่อนเยาว์ และมีชีวิตชีวา ซึ่งการปรับปรุงลักษณะใต้ตาสามารถเพิ่มความมั่นใจและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตนเองมากขึ้นได้

ใครบ้างที่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ผู้ที่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
  • ผู้ที่มีร่องใต้ตาลึก
  • มีถุงใต้ตา และไม่อยากผ่าตัด
  • มีปัญหาใต้ตาคล้ำ
  • ต้องการลดลักษณะใต้ตาบวม
  • มีผิวหนังใต้ตาหย่อนคล้อย
  • ไม่มีประวัติการแพ้สารฟิลเลอร์

ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ผู้ที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
  • ผู้ที่มีอาการแพ้สารไฮยาลูรอนิค แอซิด
  • มีปัญหาเลือดออก เลือดหยุดยาก หรือมีแผลฟกช้ำง่าย
  • ผู้ที่เป็นโรคติดต่อในบริเวณที่ฉีด เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
  • สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ และอยู่ในภาวะให้นมบุตร

ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญโดยตรง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ปลอดภัย และลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงในภายหลัง

สาเหตุการเกิดปัญหาใต้ตา

ปัญหาใต้ตา ไม่ว่าจะเป็น ถุงใต้ตา ขอบตาดำ ผิวบริเวณรอบดวงตาคล้ำ ทั้งหมดล้วนส่งผลให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย ซึ่งปัญหานี้ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • พันธุกรรม

ปัญหาใต้ตาจากพันธุกรรม

ปัญหาใต้ตาที่เกิดจากพันธุกรรม จะมีลักษณะโครงหน้าแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งลักษณะที่พบบ่อยและเห็นได้ชัด คือผู้ที่มีโครงหน้าแขก ที่เบ้าตาจะลึก เพราะเมื่อแสงกระทบจะเห็นเป็นเงามืด ทำให้ดูใต้ตาคล้ำ แล้วที่สำคัญ พื้นฐานพันธุกรรมของคนเอเชียก็มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหานี้ง่ายกว่าชาติพันธุ์อื่น

  • โรคภูมิแพ้

ปัญหาใต้ตาจากโรคภูมิแพ้

ปัญหาใต้ตาที่เกิดจากโรคภูมิแพ้นั้น เกิดจากการไหลเวียนของเลือดติดขัด เมื่อจมูกเริ่มบวมขึ้นการไหลเวียนของเลือดจะถูกปิดกั้น เกิดการคั่งของเลือด เพราะภูมิแพ้ยังทำให้เกิดการบวมน้ำบริเวณใต้ตาทำให้เกิดอาการคัน และต้องขยี้ตาบ่อย ๆ ส่งผลให้ผิวใต้ตาเกิดความคล้ำลง และอาจเกิดอาการอื่นได้ อย่างตาแดง หรือน้ำตาไหล

  • อายุที่มากขึ้น

ผิวอายุมากขึ้นเกิดปัญหาใต้ตา

ปัญหาใต้ตาจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ Baby Fat ที่อยู่ในตำแหน่งหน้าแก้มและใต้ตาค่อย ๆ หายไป นอกจากนี้ยังเกิดจากการลดลงของคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนัง ทำให้ผิวหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดร่องลึก ตาโหล ตาดำ และผิวบริเวณรอบดวงตาบางลง เห็นเส้นเลือดดำชัดเจนขึ้น

  • ผิวขาดน้ำ

ผิวขาดน้ำเกิดปัญหาใต้ตา

ปัญหาใต้ตาจากภาวะขาดน้ำ ที่ได้รับน้ำไม่เพียงพอหรือการสูญเสียน้ำมากเกินไป อย่างการออกกำลังกาย หรือเหงื่อออกเพราะอยู่ในที่ร้อนแห้ง จะทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวแห้ง ผิวดูไม่กระจ่างใส และผิวอาจบางลง เกิดเป็นรอยคล้ำส่งผลต่อใต้ตาโดยตรงได้

  • ความเครียด

ปัญหาใต้ตาภาวะเครียด

ปัญหาใต้ตาจากภาวะความเครียด ส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนกระตุ้นสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวคล้ำเสียได้ง่าย ผิวไม่กระจ่างใส และสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ส่งผลให้ขอบตาดำมากยิ่งขึ้น

  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ

พักผ่อนไม่เพียงพอเกิดปัญหาใต้ตา

ปัญหาใต้ตาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ สาเหตุนี้จะทำให้ผิวหนังใต้ตาดูคล้ำเสีย และตาบวมได้ง่าย วิธีแก้ง่าย ๆ คือต้องนอนหลับพักผ่อนวันละไม่ต่ำกว่า 6-8 ชั่วโมง หรือควรพักสายตาเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหน้าจอเป็นเวลานาน เพื่อลดอาการตาล้าและช่วยให้ปัญหาใต้ตาดีขึ้นค่ะ

ซึ่งสาเหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้น บางท่านอาจเกิดได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน และบางสาเหตุไม่สามารถแก้ไขได้ อย่างปัญหาจากพันธุ์กรรม และอายุที่เพิ่มขึ้น  หากมีปัญหาใต้ตานอกเหนือจากนี้ที่รุนแรง หรือส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังโดยตรงเพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาที่เหมาะสมเป็นรายบุคคลต่อไป

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
  • ช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณใต้ตา
  • ช่วยแก้ปัญหาถุงใต้ตาให้กระชับขึ้น
  • ลดปัญหาใต้ตาคล้ำ ช่วยให้กระจ่างใสขึ้น
  • แก้ปัญหา เบ้าตาลึก ตาโหล ให้เต็มขึ้นได้
  • ประหยัดเวลาในการรักษา
  • เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด และมีระยะพักฟื้นสั้น เมื่อเทียบกับการผ่าตัด

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
  • มีอาการบวม แดง ช้ำ แต่จะหายไปเองช่วง 3 – 5 วัน
  • ผลลัพธ์ไม่ถาวร อยู่ได้ประมาณ 12 – 18 เดือน
  • มีความเสี่ยง หากไม่ได้รับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจริง เช่นการติดเชื้อจากการฉีดวัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการฉีดเข้าเส้นเลือด ซึ่งมักทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
  • ราคาค่อนข้างสูง และต้องเติมฟิลเลอร์สม่ำเสมอหากอยากได้ผลลัพธ์คงที่ เพราะมี
  • ผลลัพธ์ไม่ถาวร จึงต้องเข้ารับการฉีดเติมเป็นระยะเพื่อคงผลลัพธ์ที่ต้องการ อาจเป็นภาระทั้งในแง่ค่าใช้จ่ายและเวลา

ควรศึกษาข้อมูลอย่างถูกต้องครบถ้วนและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยงเป็นรายบุคคล ก่อนตัดสินใจเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อความปลอดภัยค่ะ

ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี

ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี

ปัญหาใต้ตา ถือว่าเป็นปัญหาที่หลายคนเจอมากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งการรักษาก็มีอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะการพักผ่อนให้เพียงพอ การบำรุงใต้ตาด้วยมาส์ก หรือกำลังเป็นที่นิยมอย่างการการฉีดฟิลเลอร์

ซึ่งฟิลเลอร์สามารถแบ่งได้หลายยี่ห้อและหลายรุ่น แต่สำหรับยี่ห้อที่เหมาะกับฉีดใต้ตา จะต้องมีเนื้อที่ละเอียด ยืดหยุ่น ความคงตัว มีโมเลกุลยึดเกาะเหนียวแน่น และมีความนิ่ม สามารถเข้ากับร่างกายได้อย่างเหมาะสม เพราะใต้ตาเป็นบริเวณที่มีผิวค่อนข้างบาง หากฉีดรุ่นฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะกับตำแหน่ง อาจทำให้เกิดปัญหาก้อนใต้ตาได้ค่ะ

อ่านเพิ่มเติม : รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์

แนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะกับผิวใต้ตา

  • Juvederm Voluma  ฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา ใช้เทคโนโลยี hylacross ในการผลิต มีคุณสมบัติเป็นเนื้อแข็ง ฟูปานกลาง ยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำและให้ความเป็นธรรมชาติ อยู่ได้ 12-18 เดือน
  • Juvederm Volite ใช้เทคโนโลยี Vycross ในการผลิต ซึ่งเป็นเทคโนโลยีตัวใหม่ล่าสุดของ Allergan มีคุณสมบัติเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เหมาะกับคนผิวค่อนข้างบาง อยู่ได้ 12-18 เดือน
  • Juvederm Volux มีกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยี Vycross คุณสมบัติเป็นเนื้อแข็ง แต่ มีความยืดหยุ่นและคงตัว เหมาะสำหรับฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้ 18-24 เดือน
  • Restylane Classic มีความโดดเด่นเรื่องการผสานเทคโนโลยี NASHA™ และ OBT™ ซึ่งเหมาะสำหรับคนผิวบาง เพราะเป็นฟิลเลอร์เนื้อแข็ง ช่วยเก็บรายละเอียดใต้ตาในผิวชั้นลึกได้ดี อยู่ได้ 8-12 เดือน
  • Restylane Vital light ฟิลเลอร์ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี NASHA Technology (Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid) ที่ไม่ได้มาจากสัตว์ รุ่นนี้เป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียดที่สุด ใช้สำหรับเคสที่ผิวบาง อยู่ได้ 6-12 เดือน
  • Restylane Defyne ฟิลเลอร์ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี NASHA™ และ OBT™ โดยมีคุณสมบัติเป็นเนื้อเจลแข็งปานกลาง ยืดหยุ่นและอุ้มน้ำได้ดี อยู่ได้ 12-18 เดือน

สำหรับการเลือกใช้ฟิลเลอร์ ควรอยู่ภายใต้การแนะนำและการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย ซึ่งทาง RWC Clinic เราเลือกใช้แต่ฟิลเลอร์คุณภาพที่ผ่านการรับรองจาก อย. ทั้งไทยและต่างประเทศ มั่นใจได้ว่าฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดใต้ตานั้นเป็นฟิลเลอร์แท้แน่นอนค่ะ

อาการหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ต้องสังเกต

อาการหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะมีทั้งอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และอาการที่บางคนเจอ ซึ่งอาการที่เกิดจากความไม่เชี่ยวชาญของแพทย์นั้น ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ควรเกิดขึ้น และต่างจากอาการปกติที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้

การบวมและอักเสบหลังฉีด

อาการบวมและอักเสบหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การบวมและอักเสบหลังฉีด เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ตรงบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กรณีใช้ฟิลเลอร์แท้ อาการบวมจะหายไปเองได้ภายใน3-7 วัน โดยไม่มีการอักเสบ หากมีอาการนอกเหนือจากนี้ เช่น ไข้ขึ้นสูง หรือปวดในบริเวณที่ฉีดมาก ๆ เราแนะนำให้รีบเข้าพบแพทย์ที่ทำการรักษาทันที

ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นก้อน

ใต้ตาเป็นก้อนหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

สาเหตุที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วเป็นก้อน เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่นการใช้เทคนิคฉีดที่ผิด การฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้น การเลือกใช้ยาหรือความเข้มข้นของตัวยาที่ไม่เหมาะสมกับปัญหา หากฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนจะมีอาการบวมที่แบ่งออกได้เป็น 2 แบบต่างกัน โดยสังเกตได้ ดังนี้

  • อาการปกติที่ไม่อันตราย สามารถสังเกตได้จากการสัมผัส หากคลำแล้วรู้สึกนูน ๆ เล็กน้อย หรือผิวไม่เรียบเนียนในใต้ชั้นผิวหนัง อาการนี้จะค่อย ๆ เข้าที่และหายได้เองใน 7-14 วัน
  • อาการที่ผิดปกติ สามารถสังเกตได้จากการคลำผิวชั้นตื้นแล้วรู้สึกว่าฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง ๆ หรือฟิลเลอร์เป็นลำที่มองเห็นด้วยตาเปล่า อาการลักษณะนี้เกิดจากแพทย์ที่ฉีดไม่มีประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์มากพอ ทำให้อาจฉีดผิดชั้นผิวนั่นเอง

วิธีการแก้ปัญหา คือ การฉีดสลายฟิลเลอร์ ซึ่งจะเป็นการใช้เอ็นไซม์ไฮยาลูโรนิเดส ( Hyaluronidase :HYAL) ทำให้ลดการกักเก็บน้ำ ไขมัน และทำลายการยึดเกาะของ HA โดยใช้เวลา 1-7 วัน สารจะค่อย ๆ สลายไปได้เอง

สำคัญ คือตัวยาสลายฟิลเลอร์ สามารถฉีดสลายได้ในกรณีคนไข้ที่ฉีด ฟิลเลอร์แท้ เท่านั้น 

ทั้งนี้ หากจับแล้วรู้สึกเจ็บ แสบร้อนในบริเวณผิวหนังที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีไข้ขึ้นสูง หรือปวดมาก ๆ เราแนะนำให้รีบเข้าพบแพทย์ที่ทำการฉีดรักษาทันที

ข้อปฏิบัติก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ควรต้องให้ความสำคัญตั้งแต่การปฏิบัติตัวทั้งก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างเคร่งครัด ซึ่งเรา RWC Clinic ได้รวบรวมข้อปฏิบัติที่ถูกต้องไว้ให้แล้ว ต่อไปนี้

ข้อปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

สำหรับการเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้น จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลแพทย์ สถานพยาบาล และรีวิวให้ดีก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อให้ระหว่างฉีดและหลังการฉีดมีผลลัพธ์ที่ดีและได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีข้อปฏิบัติ ดังนี้ค่ะ

ข้อปฎิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
  1. งดรับประทานยา/อาหารเสริม เช่น วิตามิน E ยาประเภท NSAIDs, aspirinI และ buprofen อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด
  2. งดสมุนไพรบางชนิด เช่น กระเทียม โสม แป๊ะก๊วย
  3. งดยาทาผลัดเซลล์ผิวก่อนฉีด 3 วัน
  4. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ก่อนฉีด อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  5. หากมีโรคประจำตัวหรือทานยาประจำให้แจ้งแพทย์ที่ทำการฉีดทุกครั้ง

ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาต่อไปนี้ เป็นคำแนะนำที่จะช่วยในเรื่องผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิมากขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์ มีดังนี้

ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
  1. ห้ามบีบ กด นวดบริเวณใต้ตาที่ทำการฉีด อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์แรกหลังฉีด
  2. งดการทำทรีตเมนต์ หรือเลเซอร์ร้อนบริเวณใต้ตาช่วง 2 สัปดาห์แรก เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
  3. งดดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 3 วันแรก
  4. งดออกกำลังกายหนักหรือตากแดดแรง ๆ ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
  5. งดการแต่งหน้า 24 ชั่วโมงแรก
  6. งดกิจกรรมที่สร้างความร้อน เช่น การเลเซอร์ร้อนที่หน้า หรือการซาวน่าหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 3 วันแรก

หลังฉีดอาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อยเป็นปกติค่ะ หรือบางคนอาจมีอาการบวมแดงและเขียวช้ำรอยเข็มในบริเวณที่ฉีด แต่ทั้งนี้อาการจะค่อย ๆ ได้เองภายใน 2-3 วันแล้วแต่บุคคล

อาการและระยะเวลาฟื้นตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

เวลาฟื้นตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

โดยทั่วไปของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาการหลังฉีดจะมีแค่บวมช้ำเล็กน้อยแค่ 3-4 วัน หรือบางคนอาจใช้เวลามากกว่าในการฟื้นตัว หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ดีขึ้น สามารถกลับไปทำกิจกรรม ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ทั้งนี้ อาการบวมและช้ำอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล  แนะนำให้พักผ่อนอย่างเพียงพอในช่วงแรกหลังการฉีดฟิลเลอร์ค่ะ

ผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์จะเข้ารูปอย่างเต็มที่ มีความอิ่มฟู ร่องลึกดูตื้นขึ้นและผิวเรียบเนียนอย่างเห็นได้ชัดภายใน 1 เดือน สุดท้ายคืออย่าลืมปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน รวมถึงการไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลและการดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาด้วยนะคะ – ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล ?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาปลอดภัยหรือไม่ เสี่ยงต่อสายตาแค่ไหน

ทั่วไปของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือมีอาการหลังฉีดอย่างอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันบริเวณใต้ตาที่ฉีดเป็นปกติค่ะ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการแตะ การเกา และการกดนวดในจุดนั้น ๆ ซึ่งอาการนี้จะหายเองได้ใน 3-7 วัน ทั้งนี้ ถ้ามีอาการข้างเคียงอื่นที่อันตราย อย่างอาการบวม คันมาก ๆ หรือรู้สึกแสบ เป็นก้อนนูนบริเวณใต้ตา สาเหตุอาจเกิดจากการติดเชื้อ หรือการอุดตันของหลอดเลือด

ฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม

โดยตำแหน่งใต้ตา เป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างอันตราย เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแล้วพลาดเข้าไปในเส้นเลือดที่เลี้ยงจอประสาทตา ฟิลเลอร์อาจเข้าไปอุดตันเส้นเลือด หรือ Central Retinal Artery Occlusion (CRAO) ทำให้เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงบริเวณดวงตาได้ จนทำให้เกิดอาการตาพร่ามัวและตาบอดในที่สุด หากมีอาการผิดปกติ แนะนำให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็นถาวรได้

ฟิลเลอร์ใต้ตาฉีดแล้วตาบอด

โอกาสการเกิด “อาการตาบอด” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อใช้ฟิลเลอร์ปลอม ไม่ได้มาตรฐานการรับรองจาก FDA และแพทย์ไม่มีประสบการณ์หรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับกายวิภาคอย่างเชี่ยวชาญ ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน และทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้ แต่ไม่ได้การันตีว่าจะปลอดภัย 100% เพราะการฉีดบริเวณใต้ตามีความเสี่ยงในตัวเองอยู่แล้ว

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา vs ฉีดไขมันใต้ตา

บอกก่อนว่าทั้ง 2 หัตถการนี้ มีคุณสมบัติที่คล้ายกัน สามารถแก้ปัญหาผิวหนังรอบดวงตาได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะปัญหาริ้วรอยร่องลึกใต้ตา ใต้ตาคล้ำ ผิวหนังหย่อนคล้อย หรือผิวดูโทรมไม่สดใสและดูแก่กว่าวัยให้กลับมาอ่อนเยาว์ได้ แต่ทั้ง 2 หัตถการนี้ ต่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับฉีดไขมันใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา

ข้อดี

  • ราคาไม่สูงมาก เข้าถึงได้ง่ายกว่าการฉีดไขมัน
  • ใช้เวลาทำไม่นาน ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น
  • ไม่ต้องดมยาสลบ ไม่ดูดไขมันส่วนอื่น
  • เห็นผลชัดเจนทันที เติมได้ตรงจุด
  • หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถแก้ไขหรือละลายออกได้ 

ข้อเสีย

  • ผลอยู่ได้ชั่วคราว ประมาณ 1-2 ปี ต้องทำซ้ำ
  • อาจเกิดอาการบวมช้ำได้บ้างในช่วงแรก
  • มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน หากใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ดี หรือแพทย์ไม่ชำนาญ
  • หากแพ้สารอาจเกิดปฏิกิริยารุนแรง เช่น บวม แดง คัน เป็นก้อน

ฉีดไขมันใต้ตา

ข้อดี

  • ปลอดภัย ไม่แพ้ เพราะใช้ไขมันของตนเอง
  • ผลการเติมเต็มอยู่ได้นานถึง 2 ปี
  • เติมเต็มได้ละเอียด ในปริมาณที่พอดี
  • ผิวนุ่มเนียนสวยเป็นธรรมชาติ

ข้อเสีย

  • ราคาสูงกว่าฟิลเลอร์ เพราะต้องผ่าตัดดูดไขมัน
  • ดูดไขมันจากที่อื่น ทำให้เจ็บ บวม ช้ำ หลายตำแหน่ง
  • ระยะพักฟื้นนานกว่า เพราะบอบช้ำทั้งจุดดูดไขมันและจุดที่ฉีด
  • ต้องอาศัยเทคนิคของแพทย์สูงมาก เพื่อฉีดไขมันให้ได้รูป ไม่เป็นก้อน
  • ไม่สามารถแก้ไขได้ หากผลออกมาไม่ดี ต้องรอให้ไขมันสลายไปเอง

จะเห็นได้ว่าแต่ละวิธีมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ซึ่งเราสามารถเลือกตามความต้องการและข้อจำกัดของแต่ละบุคคล แต่ทั้งสองหัตถการเน้นย้ำเรื่องความชำนาญของแพทย์เป็นพิเศษ เพื่อลดความเสี่ยงแทรกซ้อน และเพิ่มโอกาสความสำเร็จสูงสุด  ทั้งนี้ สุขภาพและความปลอดภัยควรมาก่อนสิ่งอื่นใด ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสม ก่อนตัดสินใจทำหัตถการใดๆ กับใบหน้าค่ะ

ความต่างระหว่าง ดอลลี่อาย กับถุงใต้ตา

ดอลลี่อายกับถุงใต้ตา

หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ดอลลีอาย กับ ถุงใต้ตา คือสิ่งเดียวกัน แต่ความจริงนั้น ทั้งสองอย่างแตกต่างกันทั้งลักษณะและความหมาย โดยสังเกตได้ ดังนี้

  • ดอลลี่อาย (Dolly Eyes)

ถุงใต้ตา (Eye Bags

ดอลลี่อาย คือบริเวณขอบตาล่าง ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ทุกคนมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ มากหรือน้อยแตกต่างกันไป ตามความอ่อนวัยและความสดใสใต้ตา แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้นกล้ามเนื้อบริเวณนี้จะบางลง หรืออาจมีถุงใต้ตาใหญ่ขึ้นมากลบจนทำให้ใบหน้าดูโทรมลง
ปัจจุบัน ดอลลี่อาย ถือเป็นเทรนด์ความงามที่กำลังนิยมมากในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี เพราะบริเวณขอบตาล่างที่ชิดกับขนตาจะมีความหนาขึ้นมาหน่อย ๆ ทำให้ตามีความน่ารักขึ้นนั่นเองค่ะ

  • ถุงใต้ตา (ฺEye Bags)

ถุงใต้ตา (Eye Bags

ถุงใต้ตา หรือ Eye bags คือขอบตาล่างที่มีถุงนูนออกมา มีลักษณะบวมปูดที่เกิดจากถุงไขมันใต้ตา สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและจะชัดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนล้า อ่อนเพลีย และดูแก่กว่าวัย

ปัญหาถุงใต้ตา แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

1.ปัญหาถุงใต้ตาเทียม ที่มักเกิดจากสาเหตุพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างการนอนดึก ร้องไห้บ่อย ขยี้ตา หรือใช้สายตาจ้องมือถือ/คอมพิวเตอร์นานเกินไป

2.ปัญหาถุงใต้ตาแท้ ที่เกิดจากผนังกั้นบริเวณเปลือกตาล่างอ่อนแอลง ส่งผลให้ไขมันใต้ตาหย่อนและอายุที่มากขึ้น ทำให้เกิดความเสื่อมของสภาพของผิว กลายเป็นถุงใต้ตาในที่สุด

ดอลลี่อายจะมีลักษณะดวงตาที่ดูน่ารักคล้ายตุ๊กตา ส่วนถุงใต้ตาเป็นอาการที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพดี นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ จะช่วยบรรเทาและป้องกันปัญหาถุงใต้ตาได้ แต่หากเป็นมากจนรบกวนการใช้ชีวิต อาจต้องพบแพทย์เพื่อฉีดรักษาด้วยฟิลเลอร์หรือผ่าตัดถุงใต้ตาเพิ่มเติมค่ะ

ถาม-ตอบ ข้อสงสัยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 

1. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล และกี่วันถึงเข้าที่

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ แต่ผลลัพธ์จะดีขึ้นและเข้าที่สวยงามจะอยู่ที่ประมาณ 1 เดือนหลังฉีด ขึ้นอยู่กับการดูแลของแต่ละบุคคลด้วยค่ะ

2. การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ต้องฉีดกี่ CC ราคาเท่าไร

บริเวณใต้ตาโดยส่วนมากแพทย์จะทำการฉีดประมาณ 1-3 cc แล้วแต่ปัญหาของแต่ละคน เพราะหากฉีดเยอะเกินไป อาจทำให้ใต้ตาเป็นก้อน ไม่สวยได้

ฟิลเลอร์ใต้ตา 1 cc แต่ละคลินิกจะมีความแตกต่างกัน โดย RWC Clinic เริ่มต้นที่ 8,999 บาท สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางด้านข้าง

3. หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา บวมกี่วัน เจ็บไหม

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา โดยปกติจะอยู่ได้นาน 12-24 เดือน ซึ่งทุกครั้งที่ฉีด ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับการดูแลหลังฉีดและการเลือกตัวยาของแพทย์ค่ะ

4. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาประมาณเท่าไร 

ราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เริ่มต้นที่ประมาณ 8,900.- /cc. ซึ่งราคาแต่ละคลินิกจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ ประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีด และเครื่องมือของแต่ละคลินิก

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กับคลินิก RWC

ภาพรีวิว

รีวิว ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ใต้ตาเรียบเนียนด้วยการฉีดฟิลเลอร์
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิว ใต้ตาดูเต็มอิ่มด้วยฟิลเลอร์
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตารีวิว
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิว
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิว ใต้ตาเปล่งปลั่ง
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิว แก้ตาคล้ำ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิว
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 1cc
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิว ใต้ตาดูเต็มอิ่ม
รีวิว ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถุงใต้ตาเรียบด้วยการฉีดฟิลเลอร์

คลิปรีวิวฉีดฟิเลลอร์ใต้ตา

บทสรุป

สรุปแล้ว ฟิลเลอร์ใต้ตา คือการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic acid (HA) เข้าช่วยเรื่องถุงใต้ตา ใต้ตาเป็นหลุมลึก คล้ำ ทำให้ใบหน้าดูแก่ อิดโรย ให้กลับมาสดใสและดูดีขึ้น การเลือกฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อให้เหมาะสมกับปัญหาเพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้นถึง 1- 2 ปี มีอาการบวมช้ำหลังฉีดแต่ไม่เกิน 3 วันก็กลับมาปกติ

นอกจากนี้ หากจะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย จำเป็นต้องศึกษาข้อมูล รีวิว แพทย์ที่ฉีด สถาพยาบาล รวมถึงทำการเข้าพบแพทญ์เพื่อทำการประเมิน ตรวจสอบความเหมาะสมของฟิลเลอร์ เพื่อให้ผลลัพธ์หลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาตรงตามความต้องการและออกมาดูธรรมชาติที่สุด

ถูกยอมรับจากดาราชื่อดังของไทย

ฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ใต้ตา รางวัล

CONTACT FOR SPECIAL PRIVILEGES

กดด้านล่างติดเราเพื่อสอบถามรายละเอียดเเละสิทธิ์อื่นๆ

โทร RWC
line rwc
Facebook rwc
โทร RWC
Facebook rwc
line rwc

ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง RWC Clinic

ทีมแพทย์ RWC