ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาใต้ตาด้วยฟิลเลอร์มือใหม่อาจจะยังไม่รู้ว่า ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้กี่เดือน แม้ว่าฟิลเลอร์จะเป็นทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่หลายคนอาจยังกังวลเกี่ยวกับระยะเวลาที่ฟิลเลอร์จะอยู่ได้ และวิธีการดูแลเพื่อยืดอายุยา ซึ่งการทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุยาของฟิลเลอร์ รวมถึงเทคนิคการดูแลที่ถูกต้อง จะช่วยให้สามารถรักษาผลลัพธ์ที่สวยงามได้ยาวนานขึ้น และคุ้มค่ากับการลงทุน
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับระยะเวลาที่ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้กี่เดือน พร้อมเคล็ดลับการดูแลและเทคนิคการยืดอายุของฟิลเลอร์ เพื่อให้สามารถรักษาผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์ได้ยาวนานขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าผลลัพธ์จะจางหายเร็วเกินไป
- เติมเต็มร่องลึกใต้ตาที่เกิดจากถุงไขมันยุบตัว
- ลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา
- ปรับแต่งรูปทรงให้ดูอ่อนเยาว์
- แก้ไขปัญหารอยคล้ำใต้ตา ถุงใต้ตา
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวบริเวณรอบดวงตา
โดยทั่วไปฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
ชนิดและความเข้มข้นของฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อจะมีความเข้มข้นและขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกัน
- ฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นสูงมักอยู่ได้นานกว่า
- บางรุ่นมีเทคโนโลยีพิเศษที่ช่วยยืดอายุการใช้งาน
อายุและสภาพผิวของผู้ทำ
- ผู้ที่มีอายุน้อยและผิวยังมีความยืดหยุ่นดี มักจะเห็นผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานกว่า
- สภาพผิวที่มีการเผาผลาญดี จะส่งผลให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วขึ้น
- ความยืดหยุ่นของผิวและปริมาณคอลลาเจนมีผลต่อการคงอยู่ของฟิลเลอร์
พฤติกรรมและการดูแลผิว
- การสัมผัสแสงแดดบ่อยๆ อาจเร่งการสลายตัวของฟิลเลอร์
- การดูแลผิวที่ดีจะช่วยยืดอายุการใช้งาน
- พฤติกรรมการนอน การกิน และการออกกำลังกายมีผลต่อการคงอยู่ของฟิลเลอร์
ตำแหน่งที่ฉีด
- บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมาก ฟิลเลอร์มักสลายตัวเร็วกว่า
- ความลึกในการฉีดมีผลต่อระยะเวลาการอยู่ของฟิลเลอร์
- เทคนิคการฉีดของแพทย์มีส่วนสำคัญ
| อ่านเพิ่มเติม การดูแลตัวเอง หลังฉีดฟิลเลอร์ คำแนะนำสำคัญที่ควรทราบ
การดูแลช่วงแรก (1-2 สัปดาห์)
- การนอนและการพักผ่อน
ในคืนแรกหลังการฉีดฟิลเลอร์ ควรนอนหงายและยกหัวสูงเล็กน้อยเพื่อช่วยลดอาการบวม การนอนในท่านี้ควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 3-5 วันแรก และพึงระวังไม่นอนคว่ำหรือตะแคงที่จะทำให้เกิดการกดทับบริเวณที่ได้รับการฉีด การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- การประคบและดูแลรอยฟกช้ำ
ในวันแรกหลังการรักษา การประคบเย็นจะช่วยบรรเทาอาการบวมได้ดี แต่ต้องระมัดระวังไม่นวดหรือกดบริเวณที่ฉีดโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่หรือกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ หากพบรอยช้ำ สามารถใช้ยาบรรเทารอยช้ำตามคำแนะนำของแพทย์ได้ การดูแลส่วนนี้จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- การออกกำลังกายและกิจกรรม
ในช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก ควรงดการออกกำลังกายที่หนัก และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องก้มหน้าเป็นเวลานาน เพราะอาจส่งผลต่อการกระจายตัวของฟิลเลอร์ นอกจากนี้ ควรงดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น การดำน้ำ การแช่น้ำร้อน รวมถึงการอบซาวน่าหรือสปาหน้า เพื่อป้องกันการติดเชื้อและผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
- การดูแลผิวและการแต่งหน้า
ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก ควรงดการแต่งหน้าบริเวณที่ได้รับการฉีด เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง และเมื่อจำเป็นต้องออกแดด ควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว การทำความสะอาดผิวหน้าควรทำอย่างนุ่มนวล ไม่ขัดถูแรง เพื่อไม่ให้กระทบต่อบริเวณที่ได้รับการฉีด การดูแลเหล่านี้จะช่วยให้ผลการรักษาออกมาดีและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การดูแลระยะยาว
เมื่อผ่านช่วงแรกไปแล้ว การดูแลระยะยาวก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการยืดอายุฟิลเลอร์และรักษาผลลัพธ์ที่สวยงาม
- การดูแลผิวพื้นฐาน
การดูแลผิวพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก การใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปทุกวันจะช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเสื่อมสภาพของฟิลเลอร์ ควรเลือกใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิกเพื่อเสริมความชุ่มชื้นให้ผิว และควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรงที่อาจระคายเคืองผิว การรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ดูดีอยู่เสมอ
- การดูแลสุขภาพโดยรวม
การดูแลสุขภาพโดยรวมก็มีผลต่อความคงทนของฟิลเลอร์เช่นกัน การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นจากภายใน การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอช่วยให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง และการลดการดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิว
- การป้องกันการเสื่อมสภาพ
การป้องกันการเสื่อมสภาพของฟิลเลอร์เป็นอีกเรื่องที่ต้องใส่ใจ ควรหลีกเลี่ยงการนวดหน้าแรงๆ ที่อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ การใช้แว่นกันแดดเมื่อออกแดดจะช่วยลดการขยี้ตาและการหยีตาเพื่อหลบแสง ควรลดการแตะต้องบริเวณรอบดวงตาโดยไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกะทันหันที่อาจกระทบต่อโครงสร้างของฟิลเลอร์
- การติดตามผล
การเข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลเป็นสิ่งสำคัญ ควรสังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวอย่างสม่ำเสมอ และหากพบความผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที การดูแลอย่างต่อเนื่องเหล่านี้จะช่วยให้ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์คงอยู่ได้ยาวนานและสวยงามตามที่ต้องการ
- งดรับประทานยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) ยาแอสไพริน และไอบูโพรเฟน อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการรักษา
- หลีกเลี่ยงการรับประทานผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่อาจส่งผลต่อการรักษา โดยเฉพาะกระเทียม โสม และแปะก๊วย เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA BHA หรือ เรตินอล เป็นเวลา 3 วันก่อนการรักษา เพื่อลดความระคายเคืองของผิว
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำและการบวม
- แจ้งประวัติสุขภาพและการใช้ยาประจำให้แพทย์ทราบทุกครั้ง เพื่อประเมินความเหมาะสมในการรักษา
ข้อควรปฏิบัติหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส บีบ กด หรือนวดบริเวณที่ได้รับการฉีดเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
- งดทำทรีตเมนต์ที่ใช้ความร้อนหรือเลเซอร์บริเวณใต้ตาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการละลายหรือเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลา 3 วัน เนื่องจากอาจทำให้เกิดการบวมและช้ำมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักหรือกิจกรรมที่ต้องสัมผัสแสงแดดจัดในช่วง 7 วันแรก
- งดการแต่งหน้าในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนสูง เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือเลเซอร์หน้า เป็นเวลา 3 วัน
หมายเหตุ: อาการข้างเคียงเล็กน้อย เช่น บวม แดง หรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด เป็นเรื่องปกติและจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละบุคคล หากมีอาการผิดปกติรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ค่าใช้จ่าย
สำหรับราคาการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะแตกต่างกันไปตามหลายปัจจัย ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาคือชนิดและยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ โดยฟิลเลอร์แต่ละแบรนด์จะมีคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความลึกของร่องใต้ตาของแต่ละบุคคล
ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคา โดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูงและมีชื่อเสียงมักจะมีค่าบริการที่สูงกว่า และสถานที่ทำหัตถการก็มีผลต่อราคาเช่นกัน โดยการทำที่โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำหรือคลินิกความงามที่มีชื่อเสียงจะมีราคาสูงกว่าคลินิกทั่วไป เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและมาตรฐานการให้บริการที่สูงกว่า
นอกจากนี้ ช่วงเวลาที่เข้ารับบริการก็อาจส่งผลต่อราคา เนื่องจากบางสถานพยาบาลอาจมีโปรโมชั่นพิเศษในช่วงเวลาต่าง ๆ ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้
ราคาประมาณการในประเทศไทย
- คลินิกความงามทั่วไป: 15,000-25,000 บาท/cc
- โรงพยาบาลเอกชน: 20,000-35,000 บาทบาท/cc
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
แม้ว่าฟิลเลอร์ใต้ตาจะเป็นหัตถการที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับการทำศัลยกรรมความงามอื่นๆ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจะช่วยให้คุณสังเกตความผิดปกติและรับมือได้อย่างถูกต้อง สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ ดังนี้
1. อาการบวม
- บวมเล็กน้อยถึงปานกลาง 1-3 วัน
- บวมมากที่สุดในวันที่ 2-3
- อาจบวมไม่เท่ากันในแต่ละข้าง
- บวมมากขึ้นในตอนเช้าและลดลงในช่วงบ่าย
2. รอยช้ำและจ้ำเลือด
- เกิดขึ้นได้ 3-7 วัน
- สีอาจเปลี่ยนจากแดงเป็นม่วงและเหลืองตามลำดับ
- บางคนอาจเห็นรอยเข็มเล็กน้อย
- แต่ละคนมีระดับความช้ำไม่เท่ากัน
3. ความรู้สึกไม่สบาย
- รู้สึกตึงบริเวณที่ฉีด
- สัมผัสแล้วรู้สึกไม่เรียบเนียน
- อาจรู้สึกคันเล็กน้อย
- ความรู้สึกแปลกๆ เมื่อกลอกตา
4. ผิวหนังเปลี่ยนแปลง
- ผิวแดงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด
- อาจมีรอยนูนเล็กน้อย
- ผิวอาจรู้สึกตึงกว่าปกติ
- อาจมีรอยเข็มเล็กๆ
1. อาการบ่งชี้การติดเชื้อ
- บวมมากผิดปกติและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- มีไข้สูง หนาวสั่น
- ปวดรุนแรงและเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
- มีหนองหรือสิ่งคัดหลั่งผิดปกติ
2. ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น
- ตาพร่ามัวกะทันหัน
- มองเห็นภาพซ้อน
- ปวดตารุนแรง
- สูญเสียการมองเห็นชั่วคราว
3. การเปลี่ยนแปลงของผิว
- ผิวเปลี่ยนสีเป็นสีขาวซีดหรือคล้ำผิดปกติ
- เกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง
- ผิวหนังเป็นแผล
- ชาหรือไม่มีความรู้สึก
4. อาการแพ้
- หายใจลำบาก
- หน้าบวมมากผิดปกติ
- ผื่นคันรุนแรง
- วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
หมายเหตุ: หากพบอาการผิดปกติใด ๆ ควรรีบติดต่อแพทย์ทันที
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาและริ้วรอย หลายคนสงสัยว่า ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้กี่เดือน ซึ่งโดยทั่วไปผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือนขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล แต่การตัดสินใจทำต้องพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งในด้านความพร้อมของร่างกาย ค่าใช้จ่าย และการดูแลหลังทำ ความสำเร็จของการทำฟิลเลอร์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเตรียมตัวที่ดีและการดูแลหลังทำอย่างถูกต้อง การเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน พร้อมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัย