ดูดไขมัน งานละเอียด มาตรฐานเครื่องดูดไขมันแต่ละรุ่น มั่นใจ ปลอดภัย 100%
บทความนี้รวบรวมความรู้เรื่องการ ดูดไขมัน เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจาก สามารถเห็นผลได้ชัดเจน รวดเร็ว เพราะเป็นการสลายไขมันแล้วดูดนําไขมันออกจากร่างกายเลยในทันที ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการกําจัดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย
ดูดไขมัน คือ
การ ดูดไขมัน คือ การนำไขมันส่วนเกินที่ไม่ต้องการออกจากร่างกาย เป็นกระบวนการศัลยกรรมเพื่อความงามที่ใช้เทคนิคในการดูดไขมันส่วนเกินในชั้นใต้ผิวหนังออกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นจุดที่ลดไขมันได้ยากแม้ว่าจะควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้วก็ตาม โดยทั่วไปการดูดไขมันมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือวิธีแบบดั้งเดิมโดยการใช้การดมยาสลบ
และวิธีปัจจุบัน โดยการดูดไขมันด้วยเทคนิค Tumescent เป็นการใส่ยาชาและน้ำเกลือที่เนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งเป็นวิธีการดูดไขมันวิธีหลักที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเลือกใช้จนถึงทุกวันนี้ แพทย์จะเปิดแผลเป็นรอยเล็กๆ และสอดท่อเข้าไป ในบริเวณที่ต้องการที่จะดูด การดูดไขมันเป็นวิธีการดูดกำจัดไขมันส่วนเกินที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนและรวดเร็ว
อ่านเพิ่มเติม : สลายไขมันด้วยความเย็น คืออะไร ? ดีกว่าการดูดไขมันไหม ?
- ท้องแขน
- หน้าอก
- สีข้าง/เอว
- หน้าท้อง
- สะโพก
- น่อง
- คาง
- แก้ม
- คอ
- แขนช่วงบน
- ต้นขาด้านนอก
- ต้นขาด้านใน
- หัวเข่า
ในปัจจุบัน วิธีดูดไขมันที่นิยมกัน ได้แก่ ดูดไขมันแบบ Vaser ดูดไขมันแบบ Bodytite และการดูดไขมันแบบ Water Jet โดยแต่ละวิธีมีรายละเอียดดังนี้
การดูดไขมันแบบ VASER
การดูดไขมันแบบ Vaser คือการใช้เครื่องมือที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) ในการสลายไขมัน เป็นเครื่องรุ่นแรกที่พัฒนามาก่อนการดูดไขมันแบบอื่นๆ
กระบวนการคือ แพทย์จะทำการฉีดน้ำเกลือที่มีส่วนผสมของยาชาไปยังตำแหน่งที่จะการดูดไขมันส่วนเกินออก จากนั้นกรีดผิวหนังและสอดเครื่องมืออุปกรณ์เล็กๆ โดยจะใส่เข้าไปใต้ผิว แล้วเครื่องมือจะปล่อยคลื่น Ultrasound จากระบบหัวฉีด Vaser ที่มีหัวฉีดขนาดเล็กมาก ประมาณ 3 มิลลิเมตรเท่านั้น คลื่นนี้จะช่วยย่อยไขมันให้อ่อนนิ่มและเหลวมากขึ้น จนละลายออกมาปนอยู่ในน้ำเกลือที่เราฉีดเข้าไปก่อนหน้านั้น จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการดูดไขมันต่อไป
การดูดไขมันแบบ BodyTite
การดูดไขมันแบบ BodyTite เป็นวิธีที่พัฒนาหลังจากเวเซอร์ราว ๆ 7 ปี การดูดไขมันแบบนี้จะใช้เทคโนโลยีปล่อยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio frequency: RF) ออกมา เพื่อช่วยสลายไขมัน ให้มีโมเลกุลที่เล็กลง ดูดออกมาได้ง่ายขึ้น ไขมันที่ถูกดูดออกมามีเลือดปนน้อยมากเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ทำให้เกิดแผลเพียงเล็กน้อย พร้อมช่วยกระชับผิวได้ในตัว
การดูดไขมันแบบ Water Jet หรือ Body Jet
การดูดไขมันแบบ Water Jet ด้วยเครื่อง Body Jet เหมาะกับผู้ที่ต้องการนำไขมันไปเติมเต็ม (Filler) ส่วนอื่น ๆ การดูดไขมันแบบ Water Jet จะแตกต่างจากวิธีอื่นคือ ใช้พลังงานน้ำในการแยกเซลล์ไขมันออกจากเนื้อเยื่อผิวหนัง ทำให้เจ็บน้อย และเซลล์ไขมันมีสภาพสมบูรณ์ ไม่ตาย
ที่สำคัญ มีระบบปลอดเชื้อเป็นแบบระบบปิด คือ ดูดไขมันแล้วเอาไปฉีดส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้เลยทันที นิยมใช้ในการเติมไขมันบริเวณใบหน้าให้ดูอิ่มเอิบ หรือใช้เสริมหน้าอก สะโพก ก็ได้เช่นกัน
การดูดไขมันด้วยเครื่องสั่น หรือ PAL (Power assisted Liposuction)
การดูดไขมันด้วยเครื่องสั่น เป็นเครื่องที่พัฒนารุ่นหลัง ใช้ระบบสั่นช่วยในการดูดไขมันให้ไหลออกมาได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่พังผืดมีความแข็งแรง เช่น กลางหลัง หรือบริเวณที่เคยดูดไขมันมาก่อนแล้วต้องทำซ้ำ สาเหตุที่เครื่องแบบ PAL ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากราคาเครื่องค่อนข้างสูง
MicroAir
Microaire PAL (Power-Assisted Liposuction) เป็นเพียงเครื่องมืออีกชนิด ที่ราคาแพงมาก ทำให้หลายคลินิกไม่ซื้อเครื่องมือชนิดนี้มาร่วมกับการดูดไขมันแบบอื่น เพราะดูเกินความจำเป็นไป แต่มีข้อดีที่ไม่เกิดความร้อนสะสมมากเท่าเวเซอร์ และแก้ปัญหาของบอดี้ไทท์ในเรื่องปริมาณได้
Microaire PALใช้วิธีการสั่นสะเทือนที่ทำให้รอบการดูดถี่ยิ่งขึ้น เข้าไปในชั้นไขมันของร่างกายได้ง่าย เพิ่มประสิทธิภาพการดูดไขมันได้มากยิ่งกว่าเดิม ฟกช้ำน้อยกว่าการดูดไขมันแบบปกติเพราะความถี่ในการสั่นช่วยให้ดูดไขมันได้ดีขึ้น
การดูดไขมัน จัดเป็นเทคนิคการลดไขมันที่สะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยการใช้ท่อขนาดเล็กสอดเข้าไปในชั้นผิวหนังและดูดไขมันส่วนเกินออก โดยวิธีนี้แทนที่จะต้องผ่าตัดเปิดแผลกว้างเพื่อดึงชั้นไขมันออกมา ในปัจจุบันก็สามารถทำได้โดยใช้เพียงแค่รอยเจาะเล็ก ๆ ซ่อนในตำแหน่งที่เหมาะสมและใช้เครื่องมือสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังในระดับ ชั้นไขมัน เพื่อดูดสิ่งที่ต้องการออกมา ก็สามารถลดไขมันได้ตามต้องการแล้ว
อ่านเพิ่มเติม >>> ดูดไขมัน อันตรายจริงหรือ ?
การดูดไขมัน มาตรฐานส่วนใหญ่ที่ใช้อยู่คือ ใช้เครื่องมือที่จะดูดนั้นเป็นตัวทำให้ไขมันแตกออก และดูดออกมาโดยอาศัยระบบสูญญากาศ (negative pressure) ซึ่งก็ได้ผลดี โดยในปัจจุบันได้มีการคิดค้นเครื่องมือใหม่ที่จะช่วยให้ไขมันแตกตัวก่อนทำ ให้การดูดง่ายขึ้นทำให้แพทย์ทำงานได้สะดวกขึ้น เช่น
- การใช้แรงดันน้ำ (waterjet liposuction)
- การใช้เลเซอร์
- การใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonic liposuction)
ปัจจุบันนี้การใช้คลื่นความถี่สูงได้มีการพัฒนาดีขึ้นมากทำให้สามารถช่วย การดูดไขมันได้ดีกว่าหลายๆ วิธีข้างต้นที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น การใช้แรงดันน้ำอาศัยหลักการฉีดน้ำปริมาณมากเพื่อช่วยให้ผิวหนังชาและไขมัน อ่อนตัว แต่หลังผ่าตัดอาจมีน้ำเกลือหรือไขมันที่ตกค้างอยู่จะค่อยๆ ระบายออกมาหลังผ่าตัดได้ ถ้าผู้ป่วยได้รับการแนะนำก่อนก็จะไม่ต้องกังวลกับปัญหานี้ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งได้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการและสาธิตการผ่าตัดจริงโดย เครื่องมือทั้งสองชนิดที่โรงพยาบาลภูมิพลมาแล้ว ซึ่งผู้ที่ต้องการเข้ารับการดูดไขมันอาจต้องเลือกสถานที่สำหรับการดูดไขมันให้มีมาตรฐานในความปลอดภัยต่าง ๆ
อ่านเพิ่มเติม >>> : ดูดไขมันที่ไหนดี ?
เนื่องจากการดูดไขมันนั้นคือการนำไขมันจำนวนมากออกไปภายในเวลารวดเร็ว ดังนั้นการเกิดอาการบวม ช้ำ เขียว จึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่จะมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล สิ่งที่ช่วยได้คือการสวมใส่สเตย์หรือชุดรัดกระชับ ซึ่งจะช่วยให้อาการบวมยุบเร็วขึ้น และยังช่วยพยุงร่างกายไว้ไม่ให้กระทบกระเทือนบริเวณที่เป็นแผล นอกจากจะช่วยลดการบวมแล้ว ยังช่วยให้เจ็บน้อยลงเวลาเคลื่อนไหว
ในคนไข้บางราย เมื่อดูดไขมันไปแล้วอาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ถูกดูดไขมันออกไปไม่เรียบ โดยมีรอยลักษณะเป็นคลื่นหลงเหลืออยู่ สาเหตุเกิดจากดูดไขมันในชั้นผิวที่ไม่ลึกมากพอ หรือบางรายผิวอาจแข็ง เนื่องจากเนื้อเยื่อแข็งขึ้น แต่สามารถรักษาได้โดยการนวด ไม่ว่าจะเป็นนวดแผนไทยหรือนวดน้ำมัน หรือใช้เครื่อง RF รักษาร่วมด้วย
สิ่งที่ควรระวังอีกข้อคือ การติดเชื้อของแผลผ่าตัด ควรรักษาแผลผ่าตัดให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
และในกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงการดูดไขมัน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่แผลหายช้า หรือติดเชื้อหรือโรคแทรกซ้อนได้สูงกว่าคนทั่วไปหากต้องการดูดไขมันจริงๆ จำเป็นต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบเสียก่อน เพื่อจะได้พิจารณาถึงความเหมาะสมของร่างกาย หากอาการเบาหวานคงที่ หรือความดันคงที่ก็สามารถดำเนินการผ่าตัดได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
การจะดูดไขมันเป็นการศัลยกรรมใหญ่และทุกการผ่าตัดมีความเสี่ยง จึงต้องเลือกทำการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ได้รับมาตรฐาน
- ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งพบได้น้อยมาก มักเกิดจากการดูดไขมันปริมาณมากเกินไปในคราวเดียว ได้แก่ เลือดออกมาก ไขมันอุดตันหลอดเลือด (fat embolism) และได้รับยาชาหรือยาระงับความรู้สึกเกินขนาด
- ภาวะแทรกซ้อนทั่วไป ส่วนใหญ่เกิดจากความคาดหวังของผู้รับบริการที่อยากให้ดูดไขมันได้มากกว่าที่เป็นจริง ซึ่งแพทย์ควรอธิบายผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ให้ชัดเจนก่อนทำ
- ภาวะผิวหนังไม่เรียบ เป็นคลื่น เกิดจากการดูดไขมันในชั้นตื้นเกินไป หรือดูดในบริเวณที่มีไขมันน้อยอยู่แล้ว ส่วนภาวะผิวหนังหย่อนย้อย มักเกิดในผู้สูงอายุที่ผิวหนังเสื่อมความยืดหยุ่น ซึ่งการผ่าตัดไขมันหน้าท้องน่าจะเหมาะสมกว่าในกรณีนี้
แต่การรับประทานยาสลายไขมัน และการสลายไขมันก่อนการดูดไขมันนั้น หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว ไขมันส่วนที่ย่อยสลายจะแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือด อาจเกิดภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด หรือทำให้หัวใจล้มเหลวได้ ดังนั้นจึงต้องอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการดูดไขมันด้วย
อ่านเพิ่มเติม >>> ดูดไขมันทั้งตัวได้ไหม ? อันตรายหรือเปล่า ?
ผู้ที่เหมาะสมกับการดูดไขมัน
- ผู้ที่มีพันธุกรรมทำให้สัดส่วนร่างกายไม่ได้ดั่งใจ เช่น ต้นแขนใหญ่กว่าปกติ หรือสะโพกใหญ่ไม่สมส่วนกับเอว
- ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ยังมีไขมันส่วนเกินตามจุดต่างๆ ที่กำจัดยาก เช่น เอวด้านหลัง ปีกหลัง (Fat Bra) และต้นขาด้านใน
ผู้ที่ไม่เหมาะสมกับการดูดไขมัน
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวและดัชนีมวลกาย (BMI) เกินเกณฑ์ เนื่องจากการดูดไขมันเฉพาะจุดไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักโดยรวมได้ ควรเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเสียก่อน
- ผู้ที่มีความเสี่ยงหรืออาจเกิดอันตรายจากการดูดไขมัน ซึ่งแพทย์จะต้องประเมินสุขภาพโดยรวมและชี้แจงให้ผู้ป่วยทราบก่อนตัดสินใจทำ
การดูดไขมันเป็นหนึ่งในกระบวนการผ่าตัดที่มาพร้อมกับความเสี่ยง ซึ่งผู้เข้ารับการดูดไขมันต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี โดยที่อย่างน้อยต้องมีน้ำหนักตัวใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีผิวหนังที่เด้งกระชับ ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนั้น แพทย์จะไม่แนะนำให้ดูดไขมัน หากมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การไหลเวียนโลหิต โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
อ่านเพิ่มเติม : ดูดไขมัน ดีจริงหรือ ?
- สิ่งแรกเลยก็คือ การศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกระบวนการดูดไขมัน และความเสี่ยงต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดูดไขมัน เพื่อจะได้ทราบถึงขั้นตอนและกระบวนการต่าง ๆ
- ในการเลือกดูดไขมัน ควรรับบริการดูดไขมันกับแพทย์ที่ได้รับใบประกอบ และคลินิกที่ได้มาตรฐานมีใบอนุญาตถูกต้องเท่านั้นนะคะ เพื่อลดความเสี่ยงและเอฟเฟคที่จะเกิดผลเสียกับเราหลังจากทำการดูดไขมัน
- ปรึกษาแพทย์และสอบถามเกี่ยวกับข้อสงสัยต่าง ๆ ให้ละเอียด ถามให้เรื่องที่เรามีความกังวลเรื่องการดูดไขมัน แล้วค่อยตัดสินใจทำการรักษา
- การเตรียมพร้อมร่างกายก่อนทำการดูดไขมันก็เป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน ก่อนเข้าทำการรักษาดูดการดูดไขมันนั้น จำเป็นต้องงดเครื่องดื่มแอลกฮอล์ อาหารเสริมต่าง ๆ และยากลุ่มแอสไพริน ก่อนทำการดูดไขมันอย่างน้อยเป็นเวลา 2 สัปดาห์
- หากมียาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ มีโรคประจำตัว หรือมีอาการแพ้ยา ต้องทำการแจ้งแพทย์ก่อนทำการดูดไขมัน
การศัลยกรรมดูดไขมัน เป็นการดูดเอาไขมันที่ไม่ต้องการออกด้วยท่อขนาดเล็กและอุปกรณ์สุญญากาศ โดยจะทำการดูดไขมัน ขั้นตอนหลัก ๆ ของการดูดไขมัน ได้แก่
- ฉีดสารละลายน้ำเกลือ (Saline) ประกอบด้วย ยาชาและอะดรีนาลีนเข้าไปในเนื้อเยื่อไขมันเพื่อช่วยระงับความรู้สึกและลดการเสียเลือด
- แพทย์จะใส่ท่อขนาดเล็กลงในเนื้อเยื่อไขมัน และใช้อุปกรณ์สุญญากาศดูดไขมันในบริเวณที่ต้องการและหลังจากทำเสร็จแล้ว
- แพทย์จะปิดรอยแผลบริเวณที่ดูดไขมันและให้คนไข้สวมชุดกระชับสัดส่วนเพื่อช่วยลดอาการบวมและทำให้แผลหายได้ง่ายยิ่งขึ้น
ข้อดีของการดูดไขมันด้วยเทคนิคนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ช่วยให้สามารถเอาไขมันออกมาได้ง่าย และช่วยลดความรู้สึกไม่สบายต่าง ๆ หลังขั้นตอนการดูดไขมัน นอกจากนั้นยังช่วยลดรอยช้ำและบวม
หลังการดูดไขมันอาจจะมีอาการบวม ช้ำ เกิดรอยเขียวอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์
- หลังจากการดูดไขมัน อาจเกิดรอยแผลเป็น บริเวณจุดทางเข้าอุปกรณ์ที่ใช้ดูด เป็นแผลเป็นขนาดเล็กมีขนาดเท่ากับหลอดยาคูล โดยสามารถเลือกได้ว่า จะเย็บปิดแผลให้สวยงาม หรือ เปิดไว้เพื่อให้ระบายน้ำเกลือออกได้ดีกว่า
- หลังทำควรหลีกเลี่ยงการโดนน้ำบริเวณแผล จนกว่าแผลจะแห้งสนิท
- หากต้องการทาครีมลดรอยแผลเป็น ควรทิ้งระยะไว้ 2สัปดาห์หรือรอจนกว่าแผลจะแห้งสนิท
- และขั้นตอนที่สำคัญที่สุดก็คือ “การสวมชุดกระชับหลังทำการดูดไขมัน” เนื่องจากหลังทำการดูดไขมัน จะมีช่องว่างในชั้นผิวอยู่
การสวมชุดกระชับ จะทำให้เนื้อเรียบเนียนและแนบชิดเข้ารูปสวยตามที่ต้องการ แนะนำว่าให้เป็นชุดกระชับที่ออกแบบมาสำหรับการใช้หลังจากการดูดไขมัน และต้องใส่ต่อเนื่อง 1-2 เดือน
โดยเดือนแรกแนะนำให้ใส่ตลอดเวลา “เพราะการสวมชุดกระชับคือขั้นตอนการดูแลหลังจากการดูดไขมันที่สำคัญที่สุด”
- สวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆ เพราะหลังทำการดูดไขมัน ต้องใส่ชุดกระชับตลอดเวลา จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดและรู้สึกคล่องตัวกว่า
- งดทานของหมักดอง และเครื่องดื่มแอลกฮอล์ เพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น
- ทานยาที่แพทย์สั่งหลังจากการรักษา อย่างสม่ำเสมอ
สรุป
การดูดไขมันเป็นทางเลือกหนึ่งในการกําจัดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ตามบริเวณต่างๆของร่างกาย เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นแขน และต้นขา กระบวนการศัลยกรรมเพื่อความงามที่ใช้เทคนิคในการดูดไขมันส่วนเกินในชั้นใต้ผิวหนังออก ซึ่งปัจจุบันมีทางเลือกในการกําจัดไขมันส่วนเกินได้หลากหลายวิธี โดยดูดไขมันเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมอย่างมาก