ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาใต้ตาหรือ ขอบตาดำ คล้ำ เช่น การร้องไห้ อายุ แสงแดด ภูมิแพ้หรือการนอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงอะไร แต่ปัญหาเหล่านี้อาจก่อให้เกิดความกังวลใจ หรือความไม่มั่นใจได้ ฉะนั้น RWC จะพาไปทำความรู้จักกับวิธีการแก้ปัญหา ขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำค่ะ
สาเหตุที่ทำให้เกิด ขอบตาดำ มีอะไรบ้าง
ขอบตาดำเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- อายุ ปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ก็คืออายุที่เพิ่มขึ้น ถุงใต้ตาบริเวณหนังตาจะเริ่มหย่อนไปตามอายุ การผลิตไขมันและคอลลาเจนบริเวณผิวหนังก็ลดลง จึงทำให้เกิดขอบตาขึ้น และทำให้ความคล้ำบริเวณขอบตายิ่งชัดมากขึ้น
- โรคประจำตัว ช่น อาการแพ้ หรือภูมิแพ้ เพราะหากเกิดอาการภูมิแพ้ จะทำให้ระคายเคืองรอบ ๆ ดวงตาและอาจจะเผลอไปขยี้ตาและการคัดจมูก อาจทำให้เส้นเลือดบริเวณดวงตาและจมูกบวมขึ้นจนทำให้ผิวบริเวณใต้ดวงตาดำคล้ำขึ้นได้เช่นกัน
- ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ การมีความเครียดสะสมหรือความเครียดเรื้อรัง ปัญหาการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท ทำให้ผิวซีดจางและดวงตาบุ๋มลึกขึ้น จนทำให้เห็นรอยคล้ำใต้ตาได้ชัด
- ร่างกายขาดน้ำ เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ ไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอตามปริมาณที่ต้องการ จะส่งผลให้ผิวไม่กระจ่างใส ทำให้มองเห็นรอยดำคล้ำใต้ตาชัดขึ้น
- การสูบบุหรี่/ดื่มแอลกอฮอล์ หากสูบหรือดื่มมากเกินไป อาจทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวจนเห็นเป็นรอยคล้ำใต้ดวงตา และขอบตาดำคล้ำยิ่งขึ้น
- แสงแดด การได้รับแสงแดดมากเกินไป อาจกระตุ้นให้เกิดการผลิตเม็ดสีที่ผิวหนังเพิ่มมากขึ้น จนผิวหน้าบริเวณขอบตาดำคล้ำขึ้นได้
อ่านเพิ่มเติม : 7 ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- การพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากการพักผ่อนน้อยมีหลากหลายสาเหตุ หลัก ๆ ก็คือการจัดการกับความเครียด เนื่องจากความเครียดอาจส่งผลให้มีปัญหาในการนอน จำเป็นต้องหาวิธีผ่อนคลาย ที่อาจช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น จะช่วยลดปัญหาการเกิดขอบตาดำคล้ำได้
- การดื่มน้ำให้เพียงพอ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ แต่ไม่ควรดื่มมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้เช่นกัน
- ประคบเย็น โดยใช้ผ้าแช่เย็นหรือการมาส์กหน้าด้วยครีมบำรุงใต้ตา หรือการใช้แตงกวาหั่นแว่นแช่เย็นมาประคบบริเวณดวงตาและขอบตา เนื่องจากความเย็นสามารถช่วยลดปัญหาขอบตาดำได้
- ใช้ยา เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยที่ทำให้ขอบตาดำ เช่น ใช้ยาต้านฮิสตามีนเพื่อรักษาอาการแพ้ ก่อนใช้ยาแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชก่อนทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดอาการดื้อยา
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวจนเห็นเป็นรอยคล้ำใต้ตา
- หลีกเลี่ยงแสงแดด เพื่อไม่ให้แสงแดดกระตุ้นการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนังมากเกินไป
- การศัลยกรรม/การยิงเลเซอร์ เพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนยาน กำจัดผิวหนังส่วนเกินของถุงใต้ตา และทำลายเม็ดสีบริเวณใต้ดวงตาที่เป็นรอยดำคล้ำ
- การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการเติมเต็มใบหน้าที่ RWC แนะนำ เพราะฟิลเลอร์จะช่วยให้ริ้วรอย รอยหมองคล้ำให้ดูจางลง ช่วยแก้ไขโครงสร้างใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ใบหน้าบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์เต่งตึงขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อยู่ได้นานแค่ไหน
โดยทั่วไปการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาระยะเวลาจะอยู่ได้นาน 12 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ และการดูแลตัวเองหลังฉีด ส่วนใหญ่โดยมาตรฐานของฟิลเลอร์ จะขึ้นกับปริมาณความเข้มข้นของ Hyaluronic Acid และเทคโนโลยีการผลิต ที่ได้รับมาตรฐานการรับรองจากองค์การอาหารและยา เป็นสารที่เลียนแบบสารที่มีตามธรรมชาติ สามารถย่อยสลายได้เอง ตามกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกายโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง
อ่านเพิ่มเติม >>> เจาะลึกฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน
โดยปกติแล้วฟิลเลอร์ที่หมอเลือกใช้จะเป็นฟิลเลอร์ แบรนด์ Juvederm เพราะเป็นฟิลเลอร์อันดับ 1 จากอเมริกา จะเป็นในรุ่นของ Juvederm รุ่น Voluma หรือ Volift สำหรับฉีดในตำแหน่งทดแทนไขมันชั้นลึกหรือแทนที่กระดูกหน้าแก้ม และ รุ่น Vobella สำหรับการฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดรอบ ๆ ดวงตา
เตรียมตัวก่อนฉีด มีอะไรบ้าง
เตรียมตัวก่อนฉีดอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ปฏิบัติตามดังนี้
- งดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนฉีด 24 ชั่วโมง เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้เลือดแข็งตัวยาก จะส่งผลให้เกิดอาการช้ำได้ง่าย ซึ่งจะดีที่สุดหากสามารถเลี่ยงได้ 3 วัน
- หลีกเลี่ยงอาหารเสริมหรือยาบางชนิดที่มีผลต่อการทำให้เกิดเลือดแข็งตัว อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เช่น ยาแก้ปวด กลุ่ม NSAIDs, แอสไพริน (aspirin) และ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- เลี่ยงการใช้สมุนไพร เช่น น้ำมันตับปลา แปะก๊วย โสม เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงอาหารเค็มหรืออาหารรสจัด 2-3 วันก่อนฉีด เนื่องจากอาหารที่มีรสชาติเค็มจะทำให้อาการน้ำคั่ง ส่งผลให้ร่างกายมีโอกาสบวมมากขึ้น
- หากมีโรคประจำตัว หรือตั้งครรภ์ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบทุกครั้ง ควรแจ้งประวัติการใช้ยาหรือโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบก่อนฉีด
ข้อควรทำหลังฉีด
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีด ควรปฏิบัติตามดังนี้
- ประคบเย็นเบา ๆ บริเวณที่ฉีดครั้งละ 10 นาที ประมาณ 2-3 ชั่วโมง หากมีบริเวณที่ช้ำ
- งดการออกกำลังกาย กิจจกรรมกลางแจ้ง หรือทำกิจกรรมที่สร้างความร้อนให้แก่ร่างกาย เช่น การซาวน่า เลเซอร์ทุกชนิด เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- งดกดนวดบริเวณที่ฉีดา อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
- งดแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- งดแต่งหน้าหรือใช้ครีมบำรุงทุกชนิด เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อความชุ่มชื้นและให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดไปอุ้มน้ำและฟูขึ้น ฟิลเลอร์จะสามารถอยู่ได้นาน
- สามารถรับประทานยาได้หากมีปวดในบริเวณที่ฉีด แพทย์แนะนำกลุ่มยาแก้ปวด พาราเซตามอล
อ่านเพิ่มเติม : ฉีดฟิลเลอร์เเล้วตาบอด
ฉีดฟิลเลอร์ ราคาเท่าไหร่
ฟิลเลอร์แท้ จะมีราคาค่อนข้างสูง โดยราคาเริ่มต้นประมาณ 9,000 – 1X,000 บาท/CC. ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ในแต่ละประเภท ในขณะเดียวกันก็มีฟิลเลอร์ที่ราคาถูกมาก ๆ ตามท้องตลาด ต้องระมัดระวังในเรื่องของการใช้ฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้เกิดการไหลย้อยของฟิลเลอร์และพังผืดได้
สรุป
ปัญหา ขอบตาดำ เกิดจากหลายสาเหตุ และการฉีดสารเติมเต็มกลุ่มไฮยาลูรอนิค แอซิด ก็เป็นอีกวิธีที่ RWC แนะนำ เนื่องจากจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์เข้าที่บริเวณใต้ตาที่มีปัญหาหมองคล้ำ ให้ใบหน้ากลับมาสดใส ใต้ตาดูตื้นขึ้น และรอยคล้ำดูจางลงทำให้ อ่อนเยาว์ และดูมีชีวิตชีวามากขึ้น โดยระยะเวลาของการฉีด จะอยู่ได้นาน 12 – 18 เดือน ปลอดภัย สามารถสลายเองได้ไม่มีสารตกค้าง