ค่า BMI หรือที่รู้กกันก็คือ “ค่าดัชนีมวลกาย” เป็นเครื่องมือประเมินลักษณะร่างกายของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน และได้รับการยอมรับในระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาล คลินิกเสริมความงาม ฟิตเนส หรือสถาบันอื่น ๆ ต่างใช้สูตรคำนวณ BMI เพื่อหาค่าดัชนีมวลกายของผู้เข้ารับบริการ
โดยการคำนวณความสมดุลระหว่างน้ำหนักและส่วนสูงค่าดัชนีมวลกาย อาจสามารถช่วยระบุความเสี่ยงในการเกิดโรคบางชนิด เช่น โรคขาดสารอาหาร โรคอ้วน
ค่า BMI คืออะไร
ดัชนีมวลกาย หรือ BMI คือ ตัวเลขที่คํานวณจากนํ้าหนักและส่วนสูง โดยวิธีเป็นวิธีการคำนวนเพื่อประเมินสุขภาพแบบคร่าว ๆ ว่ามีสุขภาพเป็นอย่างไร
สิ่งสําคัญที่ควรรู้สำหรับดัชนีมวลกาย เป็นการวัดที่มีประโยชน์สําหรับคนที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป ซึ่ง BMI เป็นเพียงการประมาณค่าเท่านั้น เนื่องจากยังมีปัจจัยเรื่องอื่น ๆ เช่น อายุ ชาติพันธุ์ เพศ และองค์ประกอบของร่างกาย ทีไม่ได้นำมาร่วมคำนวณด้วยค่ะ
วิธีคํานวณค่า BMI
ตัวอย่างการคำนวณ
น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ส่วนสูง 160 เซนติเมตร
ดัชนีมวลกาย = 60 ÷ (1.60 * 1.60)
ดัชนีมวลกาย = 60 ÷ 2.56
ดัชนีมวลกาย = 23.4
>> ระดับน้อยกว่า 18.5 แสดงว่า “น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์”
ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายในเกณฑ์ระดับน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน จะมีภาวะความเสี่ยงสูงที่ร่างกายขาดสารอาหาร เกิดการหล่อเลี้ยงภายในร่างกายได้ไม่เพียงพอ โดยจะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียง่าย ภูมิคุ้มกันไม่ดี
ฉะนั้น จำเป็นต้องออกกำลังกายควบคู่กับการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบโปรตีนสูง จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและมีสารอาหารมากพอไปซ่อมแซมการทำงานของอวัยวะภายในได้อย่างเพียงพอ
>> ระดับ 18.5 – 22.9 แสดงว่า “น้ำหนักสมส่วน”
ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ระดับน้ำหนักสมส่วนตามมาตรฐาน เป็นกลุ่มบุคคลที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนได้น้อยที่สุด
ฉะนั้น ควรรักษาความสุมดลของค่า BMI ระดับนี้ไว้อย่างสม่ำเสมอ โดยหมั่นตรวจเช็คการคำนวณค่า BMI จากการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อเป็นผลชี้วัดในการตรวจเช็คมวลร่างกายอยู่เสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อคงความสมดุลนี้ไว้ค่ะ
>> ระดับ 23.0 – 24.9 แสดงว่า “น้ำหนักเกินมาตรฐาน”
ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ระดับเกินมาตรฐาน มีภาวะความเสี่ยงที่เกิดโรคแทรกซ้อนได้ นั่นก็คือ “โรคอ้วน”
ฉะนั้น ควรควบคุมปริมาณไขมันในร่างกายตัวเอง ด้วยการเลือกทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดระดับไขมันให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
อ่านเพิ่มเติม : การลดไขมันแบบเร่งด่วน
>> ระดับ 25.0 – 29.9 แสดงว่า “น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์อ้วน”
ผู้ที่มีคํานวณค่าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ระดับนี้ มีภาวะความเสี่ยงที่เกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคอ้วนได้สูง
ฉะนั้น ควรควบคุมปริมาณไขมันในร่างกายตัวเองแบบเร่งด่วน โดยการปรับเปลี่ยนลักษณะการรับประทานอาหาร เปลี่ยนเป็นอาหารที่เน้นสุขภาพให้มากขึ้น ไม่รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกาย หรืออย่างต่ำ 8 แก้วต่อวัน สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างคือ การพักผ่อนให้เพียงพอ และติดตามผล BMI ตลอดในช่วงควบคุมน้ำหนักอยู่เสมอ
>> ระดับ 30.0 ขึ้นไป แสดงว่า “น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์อ้วนมาก”
ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์นี้ มีภาวะความเสี่ยงที่เกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคอ้วนได้สูงที่สุด
ฉะนั้น ควรเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาในการควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่รับประทานอาหารที่เพิ่มมวลไขมันแก่ร่างกาย และหมั่นออกกำลังกายเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำอย่างต่ำ 10-12 แก้วต่อวัน และติดตามผล BMI ตลอดในช่วงควบคุมน้ำหนักอยู่เสมอ
อ้างอิงจาก : รพ.สมิติเวช
หากค่า BMI สูงเกินไป ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง
โดยทั่วไป ความเสี่ยงของค่าเฉลี่ยจากการคำนวณค่า BMI ที่สูงเกินไป มีปัจจัยการเกิดปัญหาโรคอ้วน ดังนี้
โรคอ้วน คือ ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินกว่าปกติ หรือมากเกินกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญ จึงสะสมพลังงานเอาไว้ในรูปแบบของไขมันตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ ดังนี้
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคไขมันในเลือดสูง
- โรคตับ นิ่วในถุงน้ำดี
- โรคเบาหวาน
- โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ปวดข้อ ข้อเสื่อมก่อนวัย
- โรคผิวหนัง เช่น สิว ผิวหนังติดเชื้อ มีกลิ่นตัว
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกาย จะช่วยพัฒนาศักยภาพทางด้านกายภาพ ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น เพิ่มภูมิต้านทาน ช่วยทำให้สภาพจิตใจเบิกบานแจ่มใส ผ่อนคลายความเครียดได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การออกกำลังกายยังช่วยในเรื่องของระบบภายในร่างกายให้สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยชะลออายุอวัยวะภายในให้มีการใช้งานที่ยืนยาว และสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายป้องกันจากโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วน ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงสุดอันดับสองในประเทศไทยอีกด้วย
การเลือกรับประทานอาหาร
ในกรณีที่มีเกณฑ์การคำนวณค่า BMI สูงกว่าระดับมาตรฐาน สิ่งสำคัญก็คือการเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำแต่ให้พลังงานสูง เช่น เนื้อปลา อกไก่ และถั่วตระกูลอัลมอนต์ ที่ให้คุณค่าทางสารอาหารแก่ร่างกาย เพราะจะช่วยให้อิ่มท้อง และร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ ในการนำไปหล่อเลี้ยงไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคอ้วนได้
ไม่เพียงแต่สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน แต่ทุกคนจำเป็นต้องเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อลดการเกิดโรคอ้วนหรือโรคอื่น ๆ ตามมาได้ พยายามรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเลือกในสิ่งที่ให้มีความหลากหลาย ไม่จำเจอยู่เพียงอาหารไม่กี่ชนิด เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่าง ๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการ
พักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญ ในการช่วยป้องกันการเกิดโรคอ้วนและโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้อย่างดี เนื่องจากช่วงเวลาพักผ่อน ร่างกายและอวัยวะภายในจะทำการซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอ จากการทำกิจกรรมหนัก ๆ มาตลอดทั้งวัน ทำให้เป็นวิธีฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาแข็งแรง และช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจให้มีสุขภาพจิตที่แจ่มใสค่ะ
การดื่มน้ำให้เพียงพอ
วิธีการง่าย ๆ แต่สำคัญก็คือการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายต่อวัน การดื่มน้ำในปริมาณมาก ๆ ทำให้ร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการลดน้ำหนักและบำรุงสุขภาพผิว
น้ำหนักตัวของคนเราประกอบไปด้วยน้ำถึง 60 % ร่างกายอาจสูญเสียน้ำได้จากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย การดื่มน้ำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก หากร่างกายขาดน้ำเพียง 5 วันหรือ 1 สัปดาห์ ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : โรงพยาบาลเปาโล
การดื่มน้ำช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
- การล้างสารพิษออกจากอวัยวะ
- ช่วยให้อัตราการเผาผลาญพลังงานแคลอรี่เพิ่มสูงขึ้น
- บำรุงสุขภาพผิว ผิวดูสุขภาพดี
- เป็นส่วนประกอบของน้ำหล่อลื่นข้อต่อ
- ช่วยระบบย่อยอาหาร แก้ท้องผูกได้ดี
- ขับแบคทีเรียจากกระเพาะปัสสาวะ
- มีส่วนช่วยทำให้อัตราการเต้นของหัวใจปกติ
- ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย
- ควบคุมความดันโลหิต
- รักษาสมดุลของอิเล็กโตรไลต์ (โซเดียม)
อ่านเพิ่มเติม : ฉีดวิตามินผิว ฟื้นฟูผิว
- ท้องแขน – ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณท้องแขน เพื่อให้แขนดูเรียวเล็ก กระชับ และมีเส้นสายชัดเจนขึ้น
- หน้าอก – สำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณหน้าอก การดูดไขมันจะช่วยให้หน้าอกดูเล็กลง ไม่อวบอ้วน และสามารถนำไขมันไปเสริมให้หน้าอกดูมีวอลลุ่มได้อีกด้วย
- สีข้าง/เอว – การดูดไขมันบริเวณสีข้างและเอว จะช่วยให้เอวดูคอดกระชับ เพรียวบาง ไร้ไขมันส่วนเกินที่ไม่พึงประสงค์
- หน้าท้อง – หนึ่งในจุดสะสมไขมันที่พบบ่อย การกำจัดไขมันหน้าท้องด้วยวิธี Water Jet จะทำให้หน้าท้องแบนราบ กระชับ และมองเห็นมัดกล้ามเนื้อชัดเจนขึ้น
- สะโพก – สำหรับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินบริเวณสะโพก การดูดไขมันจะช่วยให้สะโพกดูเล็กลง และสามารถนำไขมันมาเสริมสะโพกให้ดูสวยงาม เป็นทรงได้อีกด้วย
- น่อง – การดูดไขมันบริเวณน่องจะช่วยให้ขาดูเรียวเล็ก กระชับ ไม่มีไขมันส่วนเกินที่ทำให้ขาดูใหญ่
- คาง – เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสองชั้น การดูดไขมันจะช่วยให้คางดูคมเข้ม เรียวเล็ก เส้นสายใบหน้าชัดเจนขึ้น
- แก้ม – สำหรับผู้ที่มีแก้มป่อง ไขมันสะสมมาก การดูดไขมันจะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวเล็ก และนำไขมันไปเติมเต็มบริเวณอื่นเพื่อความสวยงามได้
- คอ – การดูดไขมันบริเวณคอจะช่วยให้คอดูเรียวยาว ไม่มีวงแหวนของไขมันรอบคอที่ทำให้ดูอายุมากขึ้น
- แขนช่วงบน – เหมาะสำหรับผู้ที่มีแขนใหญ่ อวบอ้วน การดูดไขมันจะช่วยให้แขนช่วงบนดูเล็กลง กระชับ มีเส้นสายสวยงาม
- ต้นขาด้านนอก – การดูดไขมันจากต้นขาด้านนอกจะช่วยให้ขาดูเรียวยาว ไม่มีไขมันส่วนเกินที่ทำให้ขาดูใหญ่โตเกินไป
- ต้นขาด้านใน – สำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณต้นขาด้านใน ทำให้ขาดูลำตัวใหญ่ การดูดไขมันจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
- หัวเข่า – เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณหัวเข่า ทำให้ดูมีอายุมากขึ้น การดูดไขมันจะช่วยให้หัวเข่าดูกระชับและเรียวเล็กลง
RWC เป็นการดูดไขมันโดยใช้เครื่อง BodyTite เป็นเทคโนโลยีปล่อยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio frequency: RF) ออกมา เพื่อช่วยสลายไขมัน ให้มีโมเลกุลที่เล็กลง ดูดออกมาได้ง่ายขึ้น ไขมันที่ถูกดูดออกมามีเลือดปนน้อยมากเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ทำให้เกิดแผลเพียงเล็กน้อย พร้อมช่วยกระชับผิวได้ในตัว
การสลายไขมัน ด้วยเครื่อง Colltech Define
Cooltech Define เทคโนโลยีการสลายไขมันด้วยความเย็น เป็นวิธีการกำจัดไขมัน แบบไม่ต้องผ่าตัดโดยใช้ความเย็นแช่แข็งเฉพาะเซลล์ไขมันส่วนเกินที่ต้องการกำจัดออก เพราะเซลล์ไขมันจะมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ไวต่ออุณหภูมิมากกว่าเซลล์ชนิดอื่น ๆ ใช้เวลาในการสลายไขมันต้นกำเนิดเพียง 35 นาที ซึ่งถือว่าใช้เวลาน้อยมาก ๆ สามารถกำจัดเซลล์ไขมันต้นกำเนิดให้สลายออกไปจากร่างกายได้มากถึง 25-30% หลังทำการสลายไขมันสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น
สามารถสลายไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้
- ลดเหนียง ลดไขมันใต้คาง
- ลดไขมันต้นแขน เนื้อตรงรักแร้ และปีกด้านหลัง
- ลดไขมันหน้าหน้าท้อง
- ห่วงยางรอบเอว ท้องส่วนบนและส่วนล่าง
- ไขมันส่วนเกินข้างสะโพก
- ลดไขมันบริเวณก้น เซลลูไลท์
- ลดไขมันต้นขาด้านในและต้นขาด้านนอก
- ลดไขมันบริเวณหน้าอก เนื้อปลิ้นข้างรักแร้
ฉีดเมโสแฟต สลายไขมันเฉพาะจุด
การฉีดเมโสแฟต (Meso fat) เป็นเทคนิคการผลักวิตามิน เพื่อสลายไขมันส่วนเกิน ปัญหาด้านความงามของคนวัยตั้งแต่ 20 ปีเป็นต้นไป เพราะการสะสมของไขมัน ในจุดที่ไม่พึงประสงค์ เช่น แก้ม คาง ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง เอว สะโพก ย่อมทำให้ขาดความมั่นใจ ในการที่จะโชว์สรีระต่อหน้าคนอื่น ๆ โดยไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น
เมโสแฟต นั้นมีสรรพคุณในการสลายไขมันที่สะสมในชั้นไขมัน และทำให้เกิดการขัดขวางการสะสมของไขมัน ยังช่วยการกระตุ้นให้ไขมันสะสมถูกปล่อยออกมา เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และระบบต่อมน้ำเหลือง จึงทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบแข็งแรงขึ้น กระชับขึ้น ตำแหน่งที่นิยม คือ
- ลดไขมันที่แก้มให้หน้าเรียวเล็ก
- ลดไขมันที่คาง (เหนียง)
- ลดไขมันที่ต้นขา ต้นแขน
- ลดไขมันที่พุง หน้าท้อง
- ลดไขมันที่จมูก (บาน) ทำให้เล็กลง
- ลดไขมันที่หนังตาบนหย่อนคล้อย
- ลดไขมันที่น่อง
สรุป
การคำนวณค่า BMI เป็นปัจจัยสำคัญในการตรวจดูดัชนีมวลกายทั้งหมดของผู้ป่วย เพื่อให้ทางแพทย์วินิจฉัยสภาพปริมาณไขมันสะสมในร่างกายปัจจุบันและโอกาสการเกิดโรคแทรกซ้อนมากน้อยแค่ไหน