ปัจจุบันการเสริมความงามมีหลากหลายวิธี และหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัดคือการฉีดฟิลเลอร์จมูก แต่ ก่อนฉีดฟิลเลอร์จมูก นั้น จำเป็นต้องรู้ข้อมูลสำคัญหลายประการที่ควรทราบเพื่อการตัดสินใจที่เหมาะสมและปลอดภัย เพราะแม้จะเป็นหัตถการที่ไม่ซับซ้อน แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อควรระวัง รวมถึงการเตรียมตัวที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ บทความนี้จะแนะนำข้อมูลที่ควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์จมูก ตั้งแต่หลักการทำงาน ความเหมาะสมกับผู้รับบริการ ค่าใช้จ่าย ไปจนถึงวิธีการปฏิบัติตัวหลังการทำ
- ไม่ต้องการเสี่ยงกับการผ่าตัด หรือกลัวความเจ็บจากการผ่าตัด
- ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันทีและไม่มีเวลาพักฟื้น
- ไม่ต้องการให้มีสิ่งแปลกปลอม เช่น ซิลิโคน อยู่ในร่างกายถาวร
- มีฐานจมูก สันจมูก หรือปลายจมูกอยู่บ้างแล้ว และต้องการเพิ่มความโด่งเพียงเล็กน้อย
- ต้องการแก้ไขจมูกเบี้ยวเล็กน้อย หรือจมูกที่ไม่สมส่วนจากการศัลยกรรมเดิม
- ต้องการทดลองเสริมจมูกก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมถาวร
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่มีฐานจมูกมาก่อน หรือต้องการจมูกที่โด่งมาก ๆ การฉีดฟิลเลอร์อาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากการเติมฟิลเลอร์ในปริมาณมากอาจทำให้จมูกดูกว้างผิดธรรมชาติ
การฉีดฟิลเลอร์จมูกใช้ปริมาณสารเติมเต็มที่แตกต่างกันตามสภาพจมูกและความต้องการของแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว
- การฉีดฟิลเลอร์จมูกส่วนมากใช้ปริมาณไม่เกิน 1 cc
- หากแพทย์ประเมินว่าต้องใช้มากกว่า 1 ccอาจแนะนำให้เลือกวิธีการผ่าตัดเสริมจมูกแทน เพราะถ้าฉีดมากเกินไปอาจทำให้จมูกดูผิดธรรมชาติ
- สำหรับผู้ที่ฉีดครั้งแรก แพทย์มักจะเริ่มที่ปริมาณประมาณ 0.5-0.7 cc แล้วค่อย ๆ เพิ่มในการทำครั้งต่อไปหากต้องการ
สำหรับราคาการฉีดฟิลเลอร์จมูก มีราคาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแบรนด์และคลินิกที่ให้บริการ โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 25,000 บาทต่อ 1 cc สิ่งสำคัญคือควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพและผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อความปลอดภัย ไม่ควรเลือกคลินิกเพียงเพราะราคาถูก เพราะอาจเสี่ยงต่อการได้รับสารปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน
- ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่เกิดรอยแผลเป็น และมีความเสี่ยงจากการติดเชื้อน้อยกว่า
- ใช้เวลาในการทำน้อย ประมาณ 15-30 นาที เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด
- ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
- มีอาการเจ็บปวดและบวมช้ำน้อยกว่าการผ่าตัด
- สามารถปรับแต่งรูปทรงได้หลายครั้งจนพอใจ และหากไม่พอใจสามารถฉีดสารสลายฟิลเลอร์ให้กลับมาเป็นแบบเดิมได้
- สารฟิลเลอร์ประเภท HA สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย
- เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าต้องการเปลี่ยนแปลงรูปทรงจมูกแบบถาวรหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียคือผลลัพธ์ไม่คงทนถาวร ฟิลเลอร์สามารถอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการดูแลหลังฉีด ทำให้ต้องเติมฟิลเลอร์ซ้ำเป็นระยะ ซึ่งในระยะยาวอาจมีค่าใช้จ่ายสะสมที่สูงกว่าการผ่าตัดครั้งเดียว
- ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน – ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหัตถการ ประโยชน์ ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่คาดหวังได้
- เลือกคลินิกและแพทย์ที่น่าเชื่อถือ – เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตถูกต้อง และแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์โดยเฉพาะ
- หลีกเลี่ยงยาและสารเสริมบางชนิด – งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน E และสมุนไพรบางชนิด เช่น Ginkgo Biloba อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการฉีด
- แจ้งประวัติสุขภาพ – แจ้งโรคประจำตัวและยาที่ทานประจำให้แพทย์ทราบก่อนเข้ารับการรักษา
- งดดื่มแอลกอฮอล์ – งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- งดออกกำลังกายหนัก – หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดแรงก่อนทำ
- พักผ่อนให้เพียงพอ – นอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการฟื้นตัว
นอกจากนี้ ควรตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การฉีดฟิลเลอร์บริเวณจมูกมีความเสี่ยงที่จะกระทบเส้นเลือดสำคัญ ซึ่งในกรณีรุนแรงอาจทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด หรือในกรณีที่รุนแรงมากอาจส่งผลต่อการมองเห็นได้ ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์จมูกควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคของใบหน้าอย่างลึกซึ้งเท่านั้น
| อ่านเพิ่มเติม ฟิลเลอร์จมูก (Nose Filler) เสริมดั้งสวยปลายพุ่ง ปลอดภัย ไม่ผ่าตัด
- ช่วง 24 ชั่วโมงแรก – ไม่ควรนอนราบ เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสจมูก – ไม่ควรจับ บีบ กด หรือนวดจมูกเองหลังการฉีด เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่หรือกระจายไม่สม่ำเสมอ
- งดออกกำลังกาย – งดการออกกำลังกายในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
- หลีกเลี่ยงความร้อน – งดการสัมผัสความร้อนด้วยวิธีต่างๆ เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือเลเซอร์ผิว อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดแอลกอฮอล์และบุหรี่ – งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เพื่อลดการอักเสบและช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้น
- ประคบเย็น – อาจใช้น้ำแข็งห่อผ้าประคบเย็นบริเวณที่มีอาการบวมช้ำ แต่ไม่ควรกดแรงหรือวางน้ำแข็งโดยตรงบนผิว
- รับประทานยาตามคำแนะนำ – หากแพทย์มีการสั่งยาฆ่าเชื้อหรือยาลดบวม ควรรับประทานตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
หลังฉีดฟิลเลอร์จมูก จะมีอาการบวมได้เป็นปกติในช่วง 24 ชั่วโมงแรก และจะค่อยๆ ลดลงภายใน 3-7 วัน จะเห็นผลลัพธ์เต็มที่เมื่อฟิลเลอร์และกล้ามเนื้อบริเวณจมูกเริ่มเข้าที่ดี ประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังการฉีด
- มีอาการปวดผิดปกติรุนแรงหรือต่อเนื่อง แม้จะผ่านไปหลายวัน
- บริเวณจมูกมีอาการบวมแดง ร้อนผ่าว หรือมีหนอง ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อ
- สีผิวบริเวณที่ฉีดเปลี่ยนเป็นสีเทาหรือดำ อาจแสดงถึงปัญหาการไหลเวียนเลือด
- มีปัญหาการมองเห็น ตาพร่า หรือเห็นภาพไม่ชัด (อาการรุนแรงจากการที่ฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา)
- มีอาการแพ้รุนแรง เช่น หน้าบวม หายใจลำบาก หรือมีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้พบได้น้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นต้องได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกรณีฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด ซึ่งแพทย์จะใช้เอนไซม์พิเศษชื่อ hyaluronidase ฉีดเพื่อสลายฟิลเลอร์ออกทันที
บทสรุป
ก่อนฉีดฟิลเลอร์จมูก สิ่งสำคัญคือการศึกษาข้อมูลให้รอบด้านและเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ การฉีดฟิลเลอร์จมูกเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงจมูกโดยไม่ต้องผ่าตัด มีข้อดีคือไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลทันที และสามารถสลายได้หากไม่พอใจ แต่ก็มีข้อจำกัดคือผลลัพธ์ไม่ถาวร และอาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปทรงจมูกอย่างมาก
ก่อนฉีดฟิลเลอร์จมูก ควรเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. และฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อย่าเสี่ยงกับการฉีดฟิลเลอร์ราคาถูกในสถานที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้