รอยสิว ที่เกิดจากรอยหลังจากเป็นสิวมักจะคอยกวนใจเวลาแต่งหน้า ต้องคอยแต่งหน้าเพื่อปกปิด ทำให้เสียเวลา จะดีกว่าไหมถ้าเรารักษาที่ง่ายและรวดเร็วในการลดรอยสิวให้หาย รอยสิวที่เป็นแล้วหาย กับที่ทิ้งร่องรอยไว้เกิดการอักเสบจนอาจทำให้เกิดหลุมสิวขึ้นได้ ต้องได้รับการรักษาที่ถูกวิธีจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี
รอยสิว เกิดจากอะไร
รอยแดง รอยดำจากสิวบนใบหน้ามีต้นเหตุเกิดจากการอักเสบของผิวหนังเมื่อเกิดการบีบ เกา เมื่อเป็นสิว ทำให้เซลล์เนื้อเยื่อถูกทำลาย และเส้นเลือดฝอยบนผิวหนังแตกออก เกิดการอักเสบ ในท้ายที่สุดก็จะทิ้งรอยดำหรือรอยแดงเอาไว้ กลายเป็นรอยแผล ถึงแม้ว่าเราจะรักษาเพื่อลดรอยสิวแล้วก็ตาม บางเคสอาจเกิดเป็นหลุมสิวได้
ลักษณะของรอยสิว
สามารถแบ่งประเภทของรอยสิวได้ตามลักษณะของรอยสิว ดังนี้
รอยแดง
รอยแดง (Post – Inflammatory Erythema) จากสิว มีทั้งสีชมพู แดง หรือสีม่วงเกิดจากช้ำและอักเสบจากสิว ซึ่งกลไกของการเกิดสิวคือ การที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันหรือที่เรียกว่าซีบัม (Sebum) ออกมามากเกินไปทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน อาจจะทำให้ผิวหนังอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบได้ รอยแดงที่เกิดจากสิวอักเสบหากไม่ได้รับวิธีรักษาที่ถูกวิธี อาจจะทำให้ผิวหนังเป็นรอยแดงอยู่นา หรืออาจจะเป็นรอยแดงถาวรได้ จนเกิดเป็นหลุมสิวขึ้นได้
รอยดำ
รอยดำ (Post – Inflammatory Hyperpigmentation) ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการรักษาสิวอักเสบ ทำให้เกิดรอยดำที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งรอยดำจากสิวสามารถเป็นได้ทั้งรอยสีดำ สีน้ำตาล หรือสีเทา การเกิดรอยดำเป็นการอักเสบบริเวณผิวหนังชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งจะทำการรักษาโดยใช้เวลานานและยากกว่าการรักษาสิวแบบรอยแดง
รอยหลุมสิว
รอยหลุมสิว (Atrophic Scars) คือ รอยแผลอักเสบที่เกิดจากสิว มักเกิดในชั้นผิวหนังที่ลึกลงไปมาก อาจส่งผลให้คอลลาเจนในชั้นผิวถูกทำลาย ส่งผลให้ร่างกายต้องสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่เพื่อสมานแผล แต่อาจทำให้สร้างได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวในที่สุด
รอยหลุมสิวสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
Ice Pick Scars
หลุมสิวประเภทนี้ถือว่าเป็นหลุมสิวที่รุนแรงที่สุด เพราะมีรอยแผลลึก คือหลุมสิวมีปากแผลจะเล็กแต่ลึกมาก ขอบหลุมสิวจะไม่เรียบ รักษาได้ยากเพราะลักษณะของแผลมีความเล็ก เรียว และลึกลงไปในชั้นผิว ใช้เวลาในการรักษานานที่สุด
Boxcar Scar
หลุมสิวประเภทความรุนแรงปานกลางจะมีรอยแผลกว้าง เพราะมีรูปคล้ายกล่อง หลุมสิวมีปากแผลที่กว้าง เป็นทั้งแบบตื้นและแบบลึก ลักษณะของหลุมสิวแบบกว้างก็จะเป็นวงกลมหรือวงรีที่ความกว้างของแผลจะเท่ากันทั้งปากแผลและก้นแผล
Rolling Scar
หลุมสิวประเภททั่วไปที่มีหลุมสิวที่ปากกว้างและตื้น คล้ายกระทะ ก้นแผลจะดูไม่เรียบลักษณะของแผลจะเป็นเหมือนทางลาดลงไปในผิว ก้นแผลอาจจะลึกและแคบ เป็นคลื่น ไม่เป็นวง
Hypertrophic Scar
แผลเป็นนูน คือ แผลเป็นที่มีสีแดงและนูนขึ้นมาจากผิวหนังปกติ แต่ยังอยู่ในขอบเขตของรอยแผลที่เกิดจากการบาดเจ็บ หรือฉีกขาดของแผลเดิม แผลเป็นชนิดนี้เกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไป และมักไม่ขยายกว้างขึ้นเกิดจากรอยโรคเดิม
2.เลเซอร์ (Laser)
การเลเซอร์เพื่อรักษาลดรอยสิวเป็นการรักษาที่ตรงจุด แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วย เพราะเลเซอร์คือรังสีที่มีความเข้มข้นสูง แม้ว่าการใช้เลเซอร์จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้สร้างความอิ่มของผิว รอยสิวและหลุมสิวตื้นกว่าเดิม ก็อาจทำให้ผิวเกิดความบอบบางและระคายเคืองได้ง่ายได้ แต่อาจจะต้องทำหลายๆครั้ง และมีราคาค่อนข้างแพง เช่น การทำ Dual Yellow Laser และ Pico Laser เป็นต้น
3.ทานวิตามิน
เหมาะสำหรับคนที่อยากลดรอยสิว แต่ไม่ต้องการสัมผัสกับผิวหน้าโดยตรงเลยเลือกที่จะทานวิตามินแทน แต่จะเห็นผลลัพธ์ช้า ต้องใช้ความอดทนในการรอพอสมควร แนะนำให้ทานวิตามินซีและวิตามินอี
4.การผ่าตัด
เป็นวิธีการรักษาโดยการตัดแผลออกไป และแพทย์จะทำการเย็บผิวหนังให้ติดเข้าหากัน วิธีนี้นิยมใช้รักษากับรอยหลุมสิว ประเภท Ice Pick Scars และ Boxcar Scar ซึ่งเป็นรอยหลุมสิวที่ลึกและรักษาแบบทั่วไปจะใช้เวลาค่อนข้างนาน
5.การฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ เป็นวิธีที่ช่วยทำให้รอยหลุมสิวที่ลึกดูตื้นขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยใช้ Hyaluronic Acid เข้าไปเติมเต็มหลุมสิว แต่การรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ จำเป็นต้องตัดพังผืดที่คอยดึงรั้งผิวหนังออกไปก่อน ซึ่งการเลาะพังผืดจะช่วยให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดช่องว่าง และแพทย์จะทำการฉีดฟิลเลอร์เข้าตรงบริเวณที่เลาะพังผืดออกไปเพื่อเติมเต็มช่องว่างเพื่อให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นทันที
6.ฉีดเมโสหน้าใส
เป็นทางเลือกในการบำรุงผิวและลดรอยสิวอีกหนึ่งวิธี ซึ่งการฉีดเมโสเป็นการฉีดสารสกัดจากวิตามินรวมถึงสารบำรุงสำคัญต่อผิวลงไปยังผิวหนังชั้นกลางบนผิวหน้า ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงและดูกระจ่างใสขึ้น
7.ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เป็นวิธีที่แพทย์สามารถแนะนำวิธีการรักษาได้อย่างแม่นยำ เพราะถ้าหากสิวเกิดการอักเสบแบบรุนแรงต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทราบถึงสาเหตุจะได้รักษาอย่างถูกวิธี และช่วยเลือกวิธีรักษาที่ตรงจุดและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดหลุมสิวและรอยแผลเป็นขึ้น
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิวคือการทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นสิวน้อยที่สุด เพราะ สิวสามารถกลายเป็นสิวอักเสบได้ หากรักษา และดูแลไม่ดีพอ ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อเกิดสิวอักเสบ โอกาสการเกิดรอยสิวก็จะมีมากขึ้นตาม
- ล้างเครื่องสำอางก่อนนอนทุกคืน การเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าด้วยคลีนซิ่ง เป็นขั้นตอนการทำความสะอาดรูขุมขนก่อนการทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ควรทำให้เป็นประจำ เพราะการล้างหน้าอาจกำจัดคราบเครื่องสำอางได้ไม่หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีหลุมสิวอยู่แล้วเพราะอาจมีสิ่งสกปรกตกค้างบนผิวได้ ต้องทำความสะอาดใหเหมดจด เพื่อป้องกันการเกิดสิว
- ห้ามแกะ บีบ สะกิด สิว เพราะพฤติกรรมเหล่านี้จะเป็นการทำให้สิวอักเสบกว่าเดิม และยิ่งสิวอักเสบก็จะทำให้เกิดโอกาสการเกิดหลุมสิวมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดหลุมสิวที่รักษายากอีกด้วย
- เลือกใช้สกินแคร์ให้เหมาะสมกับสภาพผิวควรเลือกใช้สกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบหรือระคายเคืองกับผิว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด และสำหรับผู้ที่เป็นสิว แนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรอยสิวหลังการรักษา หากไม่ปฏิบัติตามอาจเกิดการอักเสบรุนแรงจนกลายเป็นหลุมสิวได้
สรุป
รอยสิว เกิดจากการเป็นแผลหลังจากการรักษาสิว ถ้าหากเป็นสิวอักเสบแบบรุนแรง อาจเป็นหลุมสิวได้ ควรมีวิธีการรักษาให้ถูกวิธี มีวิธีการรักษาที่หลากหลาย ทั้งการฉีดฟิลเลอร์ การฉีดเมโสหน้าใส หรือการทำเลเซอร์ สามารถเลือกได้ตามความสะดวกของแต่ละบุคคล ที่สำคัญควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้การลดรอยสิวเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน