ฟิลเลอร์ใต้ตา ตาบอด | ความเสี่ยงรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ ป้องกันอย่างไรดี

ฟิลเลอร์ใต้ตา ตาบอด | ความเสี่ยงรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ ป้องกันอย่างไรดี

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่หลายคนอาจยังกังวลเรื่องความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับ ฟิลเลอร์ใต้ตา ตาบอด ที่เคยได้ยินตามสื่อต่าง ๆ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงความเสี่ยงของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่อาจนำไปสู่ภาวะตาบอดได้ รวมถึงวิธีป้องกันและการเลือกรับบริการอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาบอดจริงไหม?

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาบอดจริงไหม?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาบอดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้จริง แต่โอกาสเกิดค่อนข้างน้อยหากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน จากการศึกษาในปี 2023-2024 พบว่า ตำแหน่งใต้ตาไม่ใช่ตำแหน่งที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางตา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเนื่องจากเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดเชื่อมต่อกับระบบเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา

สาเหตุหลักของการเกิดตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์คือ การที่สารเติมเต็มเข้าไปอุดตันเส้นเลือดแดงใหญ่ที่นำเลือดไปเลี้ยงจอประสาทตา ในทางการแพทย์เรียกว่า Central Retinal Artery Occlusion (CRAO) ทำให้เลือดไม่สามารถไหลไปเลี้ยงที่จอประสาทตาได้ ส่งผลให้เซลล์ถูกทำลายและสูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุดหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที

สาเหตุที่ทำให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาบอด

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจนำไปสู่ภาวะตาบอดได้ด้วยสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้

สาเหตุที่ทำให้ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาบอด
  • การอุดตันเส้นเลือด – ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปอาจเข้าไปในเส้นเลือดแดงและไหลย้อนกลับไปอุดตันเส้นเลือดที่เลี้ยงจอประสาทตา ทำให้เกิดภาวะ CRAO
  • ฟิลเลอร์ปลอม – การใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น ซิลิโคนเหลว หรือพาราฟิน ซึ่งไม่สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง รวมถึงการตาบอด
  • ผู้ฉีดขาดความชำนาญ – การฉีดโดยบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์หรือแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่งหรือเทคนิคที่ไม่ถูกต้อง
  • การใช้แรงดันสูงเกินไป – การฉีดด้วยแรงดันสูงหรือปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ฟิลเลอร์เข้าไปในเส้นเลือดแม้จะฉีดในตำแหน่งที่ถูกต้อง
  • ไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือภาวะฉุกเฉิน – คลินิกที่ไม่มีการเตรียมน้ำยาสลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) ไว้รับมือกรณีฉุกเฉิน ทำให้เมื่อเกิดเหตุไม่สามารถให้การรักษาได้ทันท่วงที

อาการที่บ่งชี้ว่าอาจเกิดภาวะตาบอดหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การสังเกตอาการผิดปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากเกิดภาวะแทรกซ้อนทางตา การรักษาต้องทำอย่างรวดเร็วภายใน 90 นาที เพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร อาการที่ควรสังเกตมีดังนี้

อาการที่บ่งชี้ว่าอาจเกิดภาวะตาบอดหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
  • ปวดตาเฉียบพลัน  อาการปวดที่เกิดขึ้นทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์อาจเป็นสัญญาณของการอุดตันเส้นเลือด
  • การมองเห็นผิดปกติ  เช่น การเห็นจุดดำ มองเห็นไม่ชัด หรือมีบางส่วนของภาพหายไป
  • ไม่สามารถมองเห็นแสง ในกรณีรุนแรงอาจไม่สามารถมองเห็นแสงได้เลย
  • ผิวบริเวณที่ฉีดซีดลง  ผิวอาจเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดเนื่องจากการขาดเลือดไปเลี้ยง
  • อาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาจเกิดจากผลกระทบต่อระบบประสาท

หากสังเกตเห็นอาการเหล่านี้หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ให้แจ้งแพทย์ทันที อย่ารอให้อาการแย่ลง เพราะการรักษาที่รวดเร็วมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร

การรักษาหากเกิดภาวะเสี่ยงต่อการตาบอด

หากเกิดอาการผิดปกติที่อาจนำไปสู่ภาวะตาบอดหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา การรักษาต้องทำอย่างเร่งด่วน ดังนี้

  • ฉีดน้ำยาสลายฟิลเลอร์ (Hyaluronidase) – แพทย์จะฉีดน้ำยานี้เพื่อสลายฟิลเลอร์ที่อุดตันในเส้นเลือด การรักษานี้ต้องทำภายใน 90 นาทีหลังเกิดอาการ เพื่อป้องกันเซลล์จอประสาทตาถูกทำลายอย่างถาวร
  • ใช้ยาขยายหลอดเลือด – เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังจอประสาทตา
  • นวดบริเวณที่ฉีด – เพื่อช่วยกระจายฟิลเลอร์และลดการอุดตัน
  • ส่งต่อผู้เชี่ยวชาญ – ในกรณีรุนแรง อาจต้องส่งต่อให้จักษุแพทย์เพื่อการรักษาเฉพาะทาง
  • ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด – แม้อาการจะดีขึ้น ก็ควรได้รับการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการมองเห็นและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง

5 วิธีป้องกันความเสี่ยงจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การป้องกันความเสี่ยงจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่อาจนำไปสู่ภาวะตาบอด สามารถทำได้ดังนี้

ความเสี่ยงจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
  • ควรเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ – ฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง มีความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคบนใบหน้า และมีความชำนาญในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาโดยเฉพาะ ควรตรวจสอบประวัติ ใบรับรองวิชาชีพ และผลงานของแพทย์ก่อนตัดสินใจ
  • ใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน – เลือกใช้ฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ซึ่งสามารถสลายได้ตามธรรมชาติและสามารถฉีดสลายได้ด้วยน้ำยา Hyaluronidase หากเกิดผลข้างเคียง ตัวอย่างฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรอง เช่น Restylane, Juvederm, Belotero เป็นต้น
  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน – คลินิกควรมีใบอนุญาตประกอบกิจการ มีความพร้อมในการรับมือภาวะฉุกเฉิน มีอุปกรณ์การรักษาพร้อมใช้งานทันทีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
  • ตรวจสอบว่าคุณเหมาะสมกับการฉีด – ก่อนฉีดควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และความเสี่ยงส่วนบุคคล เพื่อประเมินว่ามีความเหมาะสมในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาหรือไม่
  • ขอดูผลิตภัณฑ์ก่อนฉีด – ขอให้แพทย์แกะกล่องฟิลเลอร์ให้ดูต่อหน้า และสามารถนำกล่องฟิลเลอร์กลับบ้านได้ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากลักษณะบรรจุภัณฑ์และเลขที่รุ่นการผลิต

บทสรุป

การฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา ตาบอด นั้นเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้จริง แต่โอกาสเกิดค่อนข้างน้อยหากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ความเสี่ยงนี้ไม่ควรทำให้คุณกลัวจนไม่กล้าทำหัตถการ แต่ควรเป็นข้อมูลให้คุณตัดสินใจเลือกแพทย์ คลินิก และผลิตภัณฑ์อย่างรอบคอบ

การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง ใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน และเลือกคลินิกที่มีความพร้อมในการรับมือกับภาวะฉุกเฉิน หากคุณสังเกตเห็นอาการผิดปกติหลังการฉีด เช่น ปวดตา การมองเห็นผิดปกติ ให้แจ้งแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วน

CONTACT FOR SPECIAL PRIVILEGES

กดด้านล่างติดเราเพื่อสอบถามรายละเอียดเเละสิทธิ์อื่นๆ

โทร RWC
line rwc
Facebook rwc
โทร RWC
Facebook rwc
line rwc

ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง RWC Clinic

ทีมแพทย์ RWC

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า