แค่เห็นชื่อก็ต้องตกใจกันบ้างล่ะ “สิวหัวช้าง” ปัญหาใหญ่ที่ใครเป็นต้องคิดหนัก เพราะนอกจะมีหัวที่ใหญ่แล้ว ยังเจ็บและรักษายากอีก วันนี้ RWC จะมาอธิบายให้เข้าใจ เรื่องสิวลักษณะนี้ให้เข้าใจว่าคืออะไร มีสาเหตุเกิดจากอะไร และมีแนวทางรักษาอย่างไรบ้าง แบบไม่ให้ทิ้งรอย ห้ามพลาดในบทความนี้ค่ะ
สิวหัวช้าง คืออะไร
สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne) คือ สิวอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการอุดตันของเชื้อแบคทีเรีย น้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายเข้าไปอุดตันในรูขุมขน มีลักษณะก้อนตุ่มนูนแดง แข็ง ขนาดใหญ่ ภายในของสิวหัวช้างเป็นหนองปนกับเลือด หากเกิดการสัมผัสหรือจับ จะรู้สึกเจ็บบริเวณที่สิว รักษายาก และมักจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้เสมอ
- เจ็บปวดเมื่อสัมผัส
- มีอาการคันบริเวณรอบ ๆ
- อาการอักเสบ
- อาการบวมแดงรอบฐานสิว
- มีหนองปนเลือด
เชื้อแบคทีเรีย
เชื้อแบคทีเรีย C.acne เป็นแบคทีเรียที่พบได้บนผิวหนัง ในรูขุมขน และในต่อมไขมันสามารถก่อให้เกิดสิวได้หากมีจำนวนมากเกินไป
ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป
ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง เช่น ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน เทสโทสเทอโรน เอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้น อาจไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน ส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามาก
ใช้มือจับหรือลูบบริเวณใบหน้าบ่อย ๆ
ควรหลีกเลี่ยงการจับหรือลูบ เพราะพฤติกรรมเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนังมากขึ้น เพราะมือเป็นตัวพาสิ่งสกปรก อาจทำให้เกิดผิวหนังติดเชื้อ และเกิดเป็นสิวได้ในที่สุด
ใช้เครื่องสำอางผิดประเภทไม่เหมาะกับสภาพผิว
การใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะกับผิวเป็นสิว เช่น เครื่องสำอางที่มีซิลิโคนเป็นส่วนประกอบ ก่อให้เกิดการอุดตันได้ง่าย ผิวอาจเกิดการอุดตันจนเกิดเป็นสิวหัวช้างในที่สุด
การนอนดึก หรือพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
การนอนดึก หรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับการซ่อมแซมหรือการฟื้นฟู จนก่อให้เกิดการอุดตันของสิว
สิวหัวช้าง เกิดบริเวณไหนบ้าง
บริเวณที่มักจะพบสิวหัวช้าง มีดังนี้
คาง >>> เพราะเป็นบริเวณที่มักเอามือไปสัมผัสมากที่สุด เช่นการเท้าคาง หรือติดจับคางเป็นประจำ หรือแม้กระทั่งการสวมใส่แมสก์ที่ได้รับการเสียดสีจนเกิดเป็นสิว
จมูก >>> จมูกก็เป็นบริเวณที่สิวมักจะปรากฏขึ้น เพราะบริเวณนี้เป็นหนึ่งในบริเวณของทีโซนที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันส่วนเกินมาก
หลัง >>> เพราะหลังเป็นส่วนหนึ่งที่เหงื่อออกมาก อับชื้นและได้รับการเสียดสีจากเนื้อผ้าทำให้เกิดสิวที่หลังได้
- งดการแกะ บีบ จับตำแหน่งที่เกิดสิว
- เลือกใช้สกินแคร์หรือครีมบำรุงให้เหมาะกับสภาพผิว
- ใช้คลีนซึ่งในการทำความสะอาดผิวหน้า
- ลดหรือเลี่ยงการกินอาหารที่กระตุ้นการเกิดสิว
- นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอและขับถ่ายไม่เป็นเวลา
- ดื่มน้ำสะอาด
การใช้ยา
เป็นวิธีการรักษาที่ง่ายและสะดวก วิธีนี้จะสามารถช่วยให้สิวหายได้แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักพัก และหากรับประทานต่อเนื่องนาน ๆ อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ดังนั้น จึงต้องมีการควบคุมการใช้ยา ที่สำคัญต้องมีใบสั่งแพทย์ก่อนจึงจะสามารถซื้อยาจากร้านขายยาได้ค่ะ
การใช้เวชสำอางทา
การใช้ครีมหรือยาที่สามารถใช้รักษาสิวได้มีหลายชนิด สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชว่าเหมาะสมกับผิวและชนิดของสิวหรือไม่ ดังนี้
- เบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) เป็นตัวยาที่มีอยู่ใน ครีมทาสิวหลายชนิด ช่วยให้สิวแห้ง ลดการอุดตันหัวสิว ไม่เกิดสิวใหม่และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว
- ซัลเฟอร์ (Sulfur) เป็นส่วนประกอบทางเคมีจากธรรมชาติ สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิว
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic) นิยมนำมาเป็นส่วนผสมในสบู่หรือโฟมล้างหน้า เพื่อชำระล้างไม่ให้สิวเกิดการอุดตันและช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
วิธีการรักษาสิวหัวช้าง ให้ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้
เลเซอร์หรือการฉายแสงเพื่อรักษารอยสิว และรอยสิวมีอยู่หลายประเภท ซึ่งการใช้เลเซอร์ จะช่วยลดการผลิตไขมันภายในรูขุมขนช่วยลดการเกิดการอุดตันและลดการสะสมของแบคทีเรีย
เลเซอร์จะสามารถแบ่ง ดังนี้
Pico Laser
ช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสี รวมไปถึงปัญหาผิว เช่น รอยดำรอยแดง จุดด่างดำ เพิ่มความเรียบเนียนให้ผิว
Dual Yellow Laser
โปรแกรมเลเซอร์หน้าใสที่ช่วยลดเลือนรอยจากการเกิดสิว ฝ้า กระ หรือริ้วรอย ช่วยทำให้ใบหน้าดูเรียบเนียน กระจ่างใส
Fractora
เลเซอร์รักษาหลุมสิว ช่วยรักษาปัญหาของโครงสร้างผิว เช่น หลุมสิว แผลเป็น ช่วยฟื้นฟูความตึงตัวของผิว ลดริ้วรอยแห่งวัย รวมไปถึงปัญหาแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้
สรุป
สิวหัวช้าง เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรง จะใช้เวลากี่วันถึงจะหายนั้นขึ้นอยู่กับว่าเลือกใช้วิธีไหนในการรักษา และสภาพผิวของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป แนะนำให้เข้าปรึกษาแพทย์หรือเภสัชเพื่อคำแนะนำที่เหมาะสม ไม่แนะนำให้เจาะหรือบีบสิวหัวช้าง เพราะหากบีบด้วยตัวเองอย่างไม่ถูกวิธี อาจจะยิ่งทำให้สิวยิ่งอักเสบมากขึ้น และอาจจะทิ้งรอยแผลและหลุมสิวได้