วิธีลดน้ำหนักที่กำลังได้รับความนิยม ก็คือ การทำ IF ใครอยากลดน้ำหนักแต่ไม่อยากออกกำลังกาย ห้ามพลายบทความนี้ อดอาหารอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์ทันใจ ไม่ต้องออกกำลังกายให้เหนื่อย
เพราะเป็นการลดน้ำหนักโดยการควบคุมแคลอรี่และเวลาในการกินในแต่ละวัน และใยช่วงเวลาที่อดอาหารนี่แหละค่ะ ร่างกายจะดึงเอาไขมันที่สะสมตามร่างกายมาใช้แทน
ก่อนทำ IF อย่าลืมเช็ก BMI ของตัวเอง
ทำไมต้องทำ IF
เพราะ การทำ IF จะเป็นการลดน้ำหนักที่ไม่ต้องออกกำลังกาย แต่จะเป็นการอดอาหารแทน โดยที่ร่างกายจะดึงเอาไขมันมาใช้ในช่วงที่อดอาหารนั่นเอง โดยวิธีนี้จะช่วยลดไขมันส่งผลให้กินอาหารเป็นเวลา และเป็นระบบมากขึ้น หมดปัญหาการกินจุกจิก เพิ่มการเผาผลาญ
ทั้งหมดนี้ทำให้ควบคุมน้ำหนักได้ดีและง่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักสิ่งที่ต้องคำนึงถึงตลอดเวลาก็คือเราควรที่จะรับพลังงานเข้ามาให้น้อยกว่าที่ใช้ออกไป เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
อ่านเพิ่มเติม >>> ฉีดไขมันหน้าเด็ก
สูตรของการทำ IF ที่นิยม
ปัจจุบันมีสูตรลดน้ำหนักของ การทำ IF มีอยู่หลากหลายสูตรด้วยกัน เช่น สูตรวิธีลดน้ำหนัก 5:2 สูตรวิธีลดน้ำหนัก 16/8 หรือ Lean Gains สูตรลดน้ำหนัก 19/5 หรือ Fast Five สูตรวิธีลดน้ำหนัก Warrior Diet สูตรลดน้ำหนัก Eat Stop Eat และ สูตรลดน้ำหนัก ADF ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยม ก็คือ สูตรวิธีลดน้ำหนัก 16/8 ค่ะ
สูตรวิธีลดน้ำหนัก 16/8 หรือ Lean Gains
สูตรลดน้ำหนักจาก การทำ IF สูตรนี้กำลังได้รับนิยมมาก เนื่องจากทำได้ง่าย ไม่เหนื่อยไม่ทรมานเกินไป และสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน สามารถเริ่มทำตามได้โดยเป็นการกินอาหารในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง และการอดอาหารในช่วงเวลา 16 ชั่วโมง เช่น เริ่มทานอาหารมื้อแรกเวลา 9.00 น.มื้อสุดท้ายไม่เกิน 17.00 น. โดยหลังจากนี้ไม่ควรทานอะไรเลย แต่ยังสามารถดื่มเป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี่ เช่น กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล หรือ น้ำเปล่าได้ **เป็นวิธีที่หมอแนะนำให้มือใหม่ใช้ค่ะ
ข้อควรระวังใน การทำ IF สูตร 16/8
การอดอาหารด้วย สูตร 16/8 อย่างปลอดภัย ไม่ควรอดอาหารแบบหักโหมจนเกินไป อาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น วิงเวียนศีรษะ หงุดหงิดง่าย มีความอยากอาหารมากกว่าปกติ สำหรับบางคนชอบทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง และไม่เคยต้องอดอาหาร ดังนั้นการลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ ควรเริ่มจากการปรับรูปแบบการกินและช่วงเวลาในการอดอาหารก่อน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวได้ และพยายามอย่าลดปริมาณแคลอรี่จากปกติที่กินอยู่จนมากเกินไป ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยน จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ทั้งนี้ สามารถออกกำลังกายแบบเบา ๆ ไปควบคู่กันได้ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับความสมดุลก่อน เมื่อไหร่ที่ร่างกายปรับสมดุลได้ก่อนจึงค่อยออกกำลังกายอย่างหนักได้ค่ะ
>>> ดูสูตรอื่น ๆ ที่นี่ <<<
ทำแบบไหน ควบคู่ if แล้วได้ผลไว
- กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
- นับแคลอรี่ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ แต่ถ้าโหมทานอาหารที่แคลอรี่สูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ยังไงเราก็ไม่สามารถลดน้ำหนัก IF ได้อย่างแน่นอน
- มีวินัยในตัวเอง คือสิ่งสำคัญในการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเอ
วิธีลดน้ำหนักด้วย การทำ IF จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อส่งเสริมให้วิธีลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น และส่งผลให้มีสุขภาพภายในดีขึ้นในระยะยาว
การทำ IF เป็นวิธีที่ปลอดภัยไหม
การลดน้ำหนักด้วยการทำ IF นั้นถือว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยค่ะ แต่ปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ หากทำ IF ไม่ถูกวิธีค่ะ และอาการข้างเคียงของการทำ IF มีดังนี้
- ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ การอดอาหารและกินอาหารที่ไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้น้ำตาลในเลือดของเราต่ำลงได้
- ปวดหัว อาเจียน มักจะเกิดขึ้นในช่วงวันแรก ๆ เนื่องจากร่างกายยังไม่ชินกับได้รับสารอาหารที่น้อย
- มีความเครียด อารมณ์แปรปรวน อ่อนเพลีย เพราะการอดอาหารยังทำให้เรามีระดับพลังงานที่ต่ำ และรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าได้
- ฮอร์โมนไม่สมดุล โดยเฉพาะผู้หญิง อาจเสี่ยงต่อภาวะฮอร์โมนในร่างกายเกิดความไม่สมดุล ส่งผลให้รอบเดือนของมาไม่ปกติ จากความเครียด หรืออารมณ์แปรปรวนต่าง ๆ
- ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ ในช่วงแรกการอดอาหาร อาจส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก และผลข้างเคียงอื่นได้ เช่น การขาดน้ำ หรือขาดารอาหาร
ดังนั้น ใครสนใจลดน้ำหนักด้วยธีนี้ ควรศึกษาข้อมูลดี ๆ ปรึกษานักโภชนาการ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อให้การลดน้ำหนักได้ผลลัพธ์ที่ดี และมีประสิทธิภาพ ให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าผลกระทบค่ะ
นอกจาก การทำ IF แล้ว อีกตัวช่วยในการลดสัดส่วน หรือลดไขมันส่วนเกินเพิ่มเติมและรวดเร็วได้ เช่น การหนีบเย็น (Cooltech) หรือการดูดไขมัน เป็นต้น
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่…
สรุป
การทำ IF เป็นการลดน้ำหนักที่ไม่ต้องออกกำลังกาย แต่จะเป็นการอดอาหารแทน ซึ่ง IF มีหลากหลายสูตรให้เลือกตามความเหมาะสมและคิดว่าทำได้ เพราะจะด้ผลลัพะ์ที่ออกมามีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งควรศึกษาข้อมูลและทำการปรึกษานักโภชนาการ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนจะดีมากค่ะ