หลายคนที่สนใจปรับรูปหน้าให้เรียวสวยขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด มักให้ความสนใจกับการฉีดฟิลเลอร์คาง แต่คำถามที่พบบ่อยคือต้อง ฉีดฟิลเลอร์คางใช้กี่ cc จึงจะเหมาะสม ให้ผลลัพธ์สวยเป็นธรรมชาติ บทความนี้จะรวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับการฉีดคาง รวมถึงปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีด
-
ฟิลเลอร์คาง 1 cc
ปริมาณ 1 cc เหมาะสำหรับคนที่มีเนื้อคางอยู่แล้ว เพียงต้องการปรับแต่งเล็กน้อยให้คางดูยาวขึ้น เรียวขึ้น หรือมีมิติมากขึ้น หลังการฉีดจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนแต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้นเพียงเล็กน้อย หรือต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวเป็นวีเชฟมากขึ้น
-
ฟิลเลอร์คาง 2 cc
สำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้นชัดเจน คางตัด หรือคางที่ไม่มีมิติ ปริมาณ 2 cc จะช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้คางยาวขึ้น มีรูปทรงที่ชัดเจน และปรับให้หน้าเรียวได้อย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปหน้าให้เห็นผลชัดเจนขึ้น
-
ฟิลเลอร์คาง 3-6 cc
ในกรณีที่มีปัญหาคางสั้นมาก เนื้อคางน้อย หรือต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าทั้งหมด อาจจำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ปริมาณมากกว่า 3 cc ขึ้นไป และอาจต้องฉีดเพิ่มในบริเวณอื่นร่วมด้วย เช่น กรอบหน้า เพื่อให้ใบหน้าดูสมส่วนสวยงาม ทั้งนี้ควรอยู่ในการวินิจฉัยและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
| อ่านเพิ่มเติม ฟิลเลอร์คาง รวมเรื่องต้องรู้ก่อนฉีด เพื่อคางเรียวสวยอย่างปลอดภัย
1. ลักษณะคางเดิมและปัญหาที่ต้องการแก้ไข
ปัญหาคางที่แตกต่างกันต้องการปริมาณฟิลเลอร์ที่ไม่เท่ากัน เช่น
- คางสั้น: หากคางสั้นเพียงเล็กน้อย อาจใช้เพียง 1 cc แต่ถ้าคางสั้นมาก อาจต้องใช้ 2-3 cc
- คางตัด: อาจต้องใช้ 1-2 cc เพื่อเพิ่มความยาวและมิติให้คาง
- คางบุ๋ม: อาจใช้ 1-2 cc เพื่อเติมเต็มรอยบุ๋มและปรับรูปทรงคาง
- คางไม่สมมาตร: อาจใช้ปริมาณแตกต่างกันในแต่ละด้านเพื่อปรับให้สมดุล
2. เป้าหมายและความต้องการส่วนบุคคล
ผลลัพธ์ที่ต้องการมีผลโดยตรงต่อปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้
- ต้องการการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย: 1 cc อาจเพียงพอ
- ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน: อาจต้องใช้ 2 cc หรือมากกว่า
- ต้องการรูปหน้า V-shape: อาจต้องใช้ 2-3 cc พร้อมกับการฉีดบริเวณอื่นร่วมด้วย
3. ยี่ห้อและคุณสมบัติของฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อปริมาณที่เหมาะสม:
- ฟิลเลอร์เนื้อแน่น เช่น Juvederm Volux หรือ Restylane Lyft: เหมาะสำหรับการเพิ่มความยาวและความคมชัดให้กับคาง
- ฟิลเลอร์เนื้อนุ่ม: เหมาะสำหรับการปรับเส้นกรอบคางให้อ่อนโยนมากขึ้น
ไม่ควรฉีดปริมาณมากเกินไปในครั้งเดียว
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์คางแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากปริมาณน้อยก่อน (1 cc) แล้วค่อยเพิ่มในครั้งต่อไปหากยังไม่พอใจกับผลลัพธ์ ดีกว่าการฉีดปริมาณมากเกินไปในครั้งเดียว ซึ่งอาจทำให้คางดูไม่เป็นธรรมชาติหรือเกิดเป็นก้อน
คางควรยาวไม่เกิน 1 เซนติเมตร
การฉีดฟิลเลอร์คางไม่ควรทำให้คางยาวเกิน 1 เซนติเมตรจากความยาวเดิม เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อคางถูกดึงรวมกันเป็นก้อน เวลาพูดหรือยิ้มจะทำให้คางย้อย ผิดรูป หรืออาจเกิดลักษณะ “คางแม่มด” ที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ
การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสม
การฉีดฟิลเลอร์คางควรเลือกยี่ห้อที่มีเนื้อแน่น มีความคงตัวสูง จึงจะสามารถปั้นเป็นทรงได้สวย เช่น
- Juvederm Voluma/Volux (อยู่ได้ 18-24 เดือน)
- Restylane Perlane Lyft (อยู่ได้ 12 เดือน)
- Belotero Intense (อยู่ได้ 18 เดือน)
การดูแลในช่วงแรก (1-7 วัน)
- ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวมช้ำ
- หลีกเลี่ยงการนวด กด บริเวณที่ฉีด
- งดการเท้าคาง นอนคว่ำ เพื่อป้องกันฟิลเลอร์เคลื่อนที่
- หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด รวมถึงซาวน่า อบไอน้ำ
- งดออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
การดูแลระยะยาว
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดหรือทากันแดดเสมอ
- งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ (ช่วงแรกอย่างน้อย 1 สัปดาห์)
- งดทำเลเซอร์ร้อนบริเวณใกล้เคียงอย่างน้อย 1 เดือน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์อิ่มน้ำยิ่งขึ้น
บทสรุป
สำหรับการตัดสินใจว่า ฉีดฟิลเลอร์คางใช้กี่ cc ที่เหมาะสม ควรพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะคางเดิม ความต้องการส่วนบุคคล และคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยทั่วไปนั้น ปริมาณ 1-2 cc มักเพียงพอสำหรับการปรับรูปคางให้ดูสวยเป็นธรรมชาติ แต่ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องใช้มากกว่านั้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐานและมีใบรับรอง อย. รวมถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลหลังฉีดอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย และอยู่ได้นาน ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์คาง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด