หลายคนที่เคยทำการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนมาแล้ว มักจะสงสัยว่า เสริมจมูกแล้วฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม เพื่อปรับแต่งรายละเอียดให้สวยงามมากขึ้น หรือแก้ไขจุดที่ยังไม่สมใจ คำตอบคือ ทำได้ แต่ต้องมีข้อควรพิจารณาและความระมัดระวังหลายประการ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและสวยงามตามต้องการ บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเรื่อง เสริมจมูกแล้วฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม อย่างครบถ้วน
การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนเป็นการผ่าตัดที่เปลี่ยนโครงสร้างจมูกแบบถาวร โดยการใส่แท่งซิลิโคนเข้าไปในชั้นเนื้อเยื่อเพื่อสร้างสันจมูกที่สูงโด่ง ส่วนการฉีดฟิลเลอร์เป็นการเติมเต็มสารไฮยาลูโรนิกแอซิด (HA) เข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อปรับแต่งรูปทรงจมูก
เมื่อได้ทำการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนแล้ว หากต้องการปรับแต่งเพิ่มเติมด้วยฟิลเลอร์ จำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อความปลอดภัย
| อ่านเพิ่มเติม ฟิลเลอร์จมูก (Nose Filler) เสริมดั้งสวยปลายพุ่ง ปลอดภัย ไม่ผ่าตัด
- ผลต่อการยึดเกาะของซิลิโคน – เนื้อฟิลเลอร์อาจส่งผลต่อการยึดเกาะของแท่งซิลิโคน โดยเฉพาะหากฉีดในปริมาณมาก อาจทำให้ซิลิโคนเคลื่อนที่หรือไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
- ข้อจำกัดด้านปริมาณ – การฉีดฟิลเลอร์หลังเสริมจมูกต้องใช้ปริมาณที่จำกัด เพื่อไม่ให้กดทับซิลิโคนหรือทำให้จมูกดูผิดรูป โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 0.5-1 CC
- ความเสี่ยงด้านภาวะแทรกซ้อน – การฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณที่เคยผ่าตัดอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือการอักเสบมากขึ้น เนื่องจากเนื้อเยื่อมีการเปลี่ยนแปลงจากการผ่าตัดก่อนหน้า
- หลังเสริมจมูกใหม่ – ควรรออย่างน้อย 6-12 เดือน หลังการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน เพื่อให้เนื้อเยื่อฟื้นตัวสมบูรณ์และซิลิโคนเข้าที่แล้ว
- ประเมินความคงตัวของซิลิโคน – แพทย์จะต้องประเมินว่าซิลิโคนยึดเกาะดีและอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์
- สุขภาพเนื้อเยื่อ – เนื้อเยื่อรอบๆ ซิลิโคนต้องไม่มีการอักเสบ การติดเชื้อ หรือปัญหาใดๆ
- หลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณจมูก – ไม่ควรนอนตะแคงกดใส่จมูก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ไปจากตำแหน่งเดิม หรือไปกดทับซิลิโคนที่อยู่ด้านล่าง
- ประคบเย็นเบาๆ เพื่อลดการบวม – ใช้ผ้าเย็นหรือเจลเย็นห่อด้วยผ้าบางๆ ประคบบริเวณรอบจมูก วันละ 10-15 นาที ช่วงละ 2-3 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการใช้น้ำแข็งโดยตรง
- ไม่ควรล้างหน้าหรือสัมผัสน้ำบริเวณที่ฉีด – ในช่วง 6 ชั่วโมงแรกหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าหรือให้น้ำสัมผัสบริเวณจมูก เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแบคทีเรียในน้ำ
- หลีกเลี่ยงการเอนศีรษะลงหรือก้มหน้านานๆ – การก้มหน้าหรือเอนศีรษะลงต่ำจะทำให้เลือดไหลไปรวมที่ศีรษะมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการบวมมากกว่าปกติ และอาจทำให้ฟิลเลอร์เกิดการเคลื่อนตัวได้
- งดการออกกำลังกายหนักที่ทำให้เลือดสูบฉีดหรือเหงื่อออกมาก – การออกกำลังกายที่หนักจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เลือดไหลเวียนเร็วขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการบวมมากกว่าปกติ เหงื่อที่ออกมากยังอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือติดเชื้อได้
- หลีกเลี่ยงซาวน่า อบไอน้ำ หรือการสัมผัสความร้อนจัด – ความร้อนจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้เกิดการบวมและอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวหรือสลายเร็วขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนมาก การนั่งใกล้เตาไฟ การใช้ไดร์เป่าผมใส่หน้า
- ไม่ควรนวดหรือบีบบริเวณจมูกที่ฉีดฟิลเลอร์ – การนวดหรือบีบจมูกอาจทำให้ฟิลเลอร์กระจายไปในทิศทางที่ไม่ต้องการ
- งดการทำเลเซอร์หรือทรีทเมนต์อื่นๆ บริเวณใบหน้า – การทำเลเซอร์ การฉีดโบท็อกซ์ หรือทรีทเมนต์ความงามอื่นๆ บริเวณใบหน้าอาจไปรบกวนกระบวนการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อ
- หลีกเลี่ยงการกระแทกบริเวณจมูกอย่างแรง – การกระแทกหรือการกระทบกระเทือนที่รุนแรงอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่หรือแตกกระจาย นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อซิลิโคนที่อยู่ด้านใน
- นัดติดตามผลตามที่แพทย์กำหนด – การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญมาก โดยปกติจะนัดตรวจที่ 1-2 สัปดาห์หลังฉีด เพื่อประเมินการฟื้นตัวและตรวจสอบว่าฟิลเลอร์อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
บทสรุป
คำตอบสำหรับคำถาม เสริมจมูกแล้วฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม คือ สามารถทำได้ค่ะ แต่ต้องมีความระมัดระวังและการวางแผนที่ดี การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ การใช้ฟิลเลอร์คุณภาพ และการติดตามผลอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและสวยงาม หากกำลังพิจารณาทำ เสริมจมูกแล้วฉีดฟิลเลอร์ได้ไหม แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินความเหมาะสมเป็นรายบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดค่ะ