เปรียบเทียบระหว่างการ ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์ สำหรับการปรับรูปหน้า การฉีดไขมันและการฉีดฟิลเลอร์เป็นสองวิธีการปรับรูปหน้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ถ้าใครกำลังสนใจที่จะปรับรูปหน้า แล้วลังเลว่าจะปรับรูปหน้าด้วยสารเติมเต็มชนิดไหนดีบทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างการฉีดไขมันและการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับผู้ที่สนใจปรับรูปหน้า
- ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์
– ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?
– ฉีดไขมัน คืออะไร? - ฉีดไขมัน VS ฉีดฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร?
– ขั้นตอนการทำ
– ระยะเวลาเห็นผล และผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
– ความเสี่ยง ผลข้างเคียง
– ราคา ค่าใช้จ่าย
– ตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการฉีด
– ระดับความแข็ง / เนื้อสัมผัส
– การพักฟื้น - ฉีดไขมัน หรือ ฉีดฟิลเลอร์ เลือกแบบไหนดี?
- สรุป
– สรุปตารางเทียบระหว่าง ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์
ในปัจจุบันการ ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์ เป็นวิธีปรับรูปหน้าที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โดยและถูกนำมาเปรียบเทียบกัน แม้ทั้งสองวิธีจะมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาตรและปรับรูปหน้า แต่ ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ มาทำความรู้จักกับทั้งสองวิธีนี้กัน
ฉีดฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็มเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อเพิ่มปริมาตรและแก้ไขร่องลึก รอยย่น หรือปรับรูปหน้า ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้คือสารไฮยาลูรอนิก หรือ HA ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกายแต่ลดลงตามวัย การฉีด HA เข้าไปจึงเป็นการทดแทน HA ที่ขาดหาย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือนขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด ทั้งนี้ ฟิลเลอร์ HA มีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับร่างกายเหมือนสารสังเคราะห์ทั่วไป
ฉีดไขมัน คือ การนำไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายผู้เข้ารับการรักษา เช่น หน้าท้องหรือต้นขา มาทำให้บริสุทธิ์แล้วฉีดกลับเข้าไปในบริเวณที่ต้องการเพิ่มปริมาตร เช่น แก้ม ริมฝีปาก เป็นต้น วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์
เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อของตัวเอง สามารถอยู่ได้นาน 2ปี หรือตลอดชีวิต แต่อาจต้องทำซ้ำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ เพราะไขมันบางส่วนอาจถูกดูดซึมไป ทั้งนี้ การฉีดไขมันยังมีข้อจำกัดของการฉีดไขมัน เช่น ต้องมีแหล่งไขมันส่วนเกินในร่างกายเพียงพอ, การดูดไขมันต้องใช้แผลเปิดขนาดเล็ก ทำให้ต้องพักฟื้นนานกว่าฟิลเลอร์
ฉีดไขมัน VS ฉีดฟิลเลอร์ ต่างกันอย่างไร?
ในยุคที่การดูแลความงามมีความก้าวหน้า การเติมเต็มใบหน้าด้วยการ ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อเพิ่มความอ่อนเยาว์จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจมาก ซึ่งสองวิธีได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แม้ทั้งคู่จะมีจุดมุ่งหมายในการเพิ่มปริมาตรและปรับรูปหน้า แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ
ในบทความนี้ จะมาเปรียบเทียบขั้นตอน ระยะเวลาที่เห็นผล ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของทั้งสองวิธี เพื่อช่วยให้เลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับความต้องการของผู้ที่สนใจปรับรูปหน้า
ฉีดไขมัน | ฉีดฟิลเลอร์ |
---|---|
แพทย์ประเมินใบหน้า | แพทย์ประเมินใบหน้า |
ดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกาย (เช่น หน้าท้อง ต้นขา) | ทายาชา เพื่อลดความเจ็บในขณะการฉีด |
ทำการปั่นแยกให้ไขมันบริสุทธิ์ | ฉีดฟิลเลอร์เข้าบริเวณที่ต้องการแก้ไข |
ฉีดไขมันเข้าบริเวณที่ต้องการ | นวดเพื่อให้ฟิลเลอร์กระจายตัวสม่ำเสมอ |
แพทย์ให้คำแนะนำหลังการฉีดไขมัน | แพทย์ให้คำแนะนำหลังการฉีดฟิลเลอร์ |
ฉีดไขมัน | ฉีดฟิลเลอร์ |
---|---|
สามารถเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการฉีด แต่อาจมีอาการบวมในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ผลลัพธ์สุดท้ายจะเห็นชัดเจนหลังจาก 3-6 เดือน เมื่อไขมันเซลล์เกาะติดและมีเลือดมาเลี้ยงสมบูรณ์ ผลลัพธ์ถาวรสำหรับไขมันที่อยู่รอด (ประมาณ 50-70%) อาจต้องทำซ้ำ 2-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยผลลัพธ์สุดท้ายจะเห็นชัดหลัง 3-6 เดือน เนื่องจากไขมันต้องใช้เวลาในการเชื่อมต่อกับระบบเลือด เพื่อให้ไขมันนั้นยังคงมีชีวิต จึงใช้เวลานานกว่าฟิลเลอร์ที่ให้ผลทันที | สามารถเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการฉีด อาจมีอาการบวมในช่วง 3-7 วัน สำหรับผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นาน 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ ไม่จำเป็นต้องทำซ้ำ ยกเว้นต้องการเพิ่มปริมาณให้มากกว่าที่ได้จากครั้งแรก เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นเท่านั้น |
ฉีดไขมัน | ฉีดฟิลเลอร์ |
---|---|
การติดเชื้อ: พบได้น้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณที่ ดูดไขมันและที่ฉีดไขมัน | การติดเชื้อ: พบได้น้อย |
ไขมันอุดตันในเส้นเลือด: พบได้น้อยมาก แต่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ | การแพ้: โอกาสน้อยมากสำหรับฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิก แม้จะมีโอกาสแพ้น้อยมาก แต่ก็ยังอาจเกิดได้ในผู้ที่ แพ้สารประกอบอื่น ๆ ในฟิลเลอร์ ควรแนะนำว่าควรทำการ ทดสอบการแพ้ก่อนฉีด หากเคยมีประวัติการแพ้มาก่อน |
ผลลัพธ์ไม่สม่ำเสมอ: บางส่วนของไขมันอาจถูกดูดซึมไป ทำให้เกิดความไม่เรียบเสมอกัน | รอยฟกช้ำ: มักหายภายใน 1-2 สัปดาห์ |
รอยช้ำและบวม: มักเกิดขึ้นในช่วงแรกและหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ | การอุดตันของเส้นเลือด: พบได้น้อยมาก แต่อาจทำให้เกิดการขาดเลือดของเนื้อเยื่อได้ |
เป็นก้อน: สามารถแก้ไขได้โดยการฉีดเอนไซม์สลาย | |
ผลลัพธ์ที่ไม่สมมาตร: สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าการฉีดไขมัน |
ฉีดไขมัน | ฉีดฟิลเลอร์ |
---|---|
ค่าใช้จ่ายการฉีดไขมันจะสูงในครั้งแรก เนื่องจากต้องทำการดูดไขมันร่วมด้วย ซึ่งราคาประมาณ 50,000 - 150,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับปริมาณและพื้นที่ที่ต้องการฉีด และอาจต้องทำซ้ำ 2-3 ครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่หลังจากนั้นผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน | สำหรับค่าใช้จ่ายต่อครั้งจะต่ำกว่า ราคาจะอยู่ที่ 9,000-15,000 /cc. หรือประมาณ 15,000 - 50,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของฟิลเลอร์ จำเป็นต้องทำซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์ ทำให้ค่าใช้จ่ายระยะยาวอาจสูงกว่า |
ตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการฉีด
ฉีดไขมัน | ฟิลเลอร์ |
---|---|
การเพิ่มปริมาตรมาก เช่น แก้ม หน้าผาก คาง | การเพิ่มปริมาตรให้กับใบหน้า |
การแก้ไขร่องลึกขนาดใหญ่ | แก้ไขจุดเล็ก ๆ เช่น ร่องแก้ม ริ้วรอยรอบปาก ใต้ตา |
การเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้าทั้งหมด | การเพิ่มปริมาตรริมฝีปาก |
การแก้ไขความไม่สมมาตรของใบหน้า | การแก้ไขรอยย่นบริเวณหน้าผาก |
การฉีดไขมันเหมาะกับการเพิ่มปริมาตรมาก เพราะฉีดได้ครั้งละปริมาณมาก | การปรับโครงหน้าเล็กน้อย เช่น เพิ่มความโด่งของสันจมูก |
ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับการเติมเต็มจุดเล็ก ๆ และแก้ไขปัญหาผิวที่ไม่รุนแรง |
ฉีดไขมัน | ฟิลเลอร์ |
---|---|
การฉีดไขมัน จะมีความนุ่มและเป็นธรรมชาติมากกว่า เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อของตัวเอง ให้ความรู้สึกเหมือน เนื้อเยื่อปกติของร่างกาย เมื่อเวลาผ่านไป จะกลมกลืนกับเนื้อเยื่อโดยรอบอย่างสมบูรณ์ | การฉีดฟิลเลอร์อาจรู้สึกแข็งกว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะฟิลเลอร์ที่มีความหนืดสูง ความแข็ง/นุ่มขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ - ฟิลเลอร์ชนิดบาง: นุ่มกว่า เหมาะสำหรับริมฝีปาก ใต้ตา - ฟิลเลอร์ชนิดแข็ง: จะแข็งกว่า เหมาะสำหรับการเพิ่มปริมาตรแก้ม คาง สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ สามารถเลือกความแข็ง/นุ่มได้ตามความต้องการของแต่ละพื้นที่บนใบหน้าและการประเมินของแพทย์ |
ฉีดไขมัน | ฉีดฟิลเลอร์ |
---|---|
ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าการฉีดฟิลเลอร์ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาจมีรอยช้ำและบวมบริเวณที่ดูดไขมันและที่ฉีดไขมัน ควรหลีกเลี่ยง การออกกำลังกายหนักเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ และจำเป็นต้องใส่ชุดรัด บริเวณที่ดูดไขมัน เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ สำหรับการพักฟื้น อาจมีอารมณ์แปรปรวนด้านอารมณ์เล็กน้อย ในระหว่างพักฟื้น แต่จะดีขึ้นเมื่อผลลัพธ์ปรากฏ เป็นสิ่งปกติ ไม่ต้องกังวล | ใช้เวลาพักฟื้นสั้น ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1-2 วัน อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด สามารถกลับไปทำงานหรือทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที หลังการฉีด ควรหลีกเลี่ยงการนวดหน้าหรือทำทรีตเมนต์หน้า เข้าซาวน่าเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ และควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง |
การเลือกระหว่าง ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์ ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพผิวของแต่ละบุคคล ฉีดไขมันเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน แต่ต้องผ่านการผ่าตัดเล็กน้อย ส่วนฉีดฟิลเลอร์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว ไม่ยุ่งยาก และสามารถปรับแต่งได้ง่าย แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่า ทั้งสองวิธีมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด
สรุป
เปรียบเทียบระหว่าง ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์ เป็นการทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างสารเติมเต็ม 2 ชนิด แต่ไม่ว่าจะเป็นการฉีดเติมเต็มด้วยสารเติมเต็มแบบใด ก็คงต้องให้ความสำคัญคัญกับความสะอาดปลอดภัย และต้องทำโดยแพทย์ที่ชำนาญ ส่วนวิธีไหนเหมาะสมตรงใจกับเราที่สุด เปรียบเทียบการฉีดไขมันหน้าและการปรับรูปหน้าด้วยฟิลเลอร์ ก็ได้จัดมาให้เป็นข้อ ๆ สามารถเลือกแบบที่ชอบตามความเหมาะสมได้เลย
กระบวนการ | ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์ |
---|---|
ขั้นตอนการทำ | การฉีดไขมันเริ่มจากแพทย์ประเมินใบหน้า จากนั้นจะดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกาย นำไปปั่นแยกให้บริสุทธิ์ แล้วจึงฉีดเข้าบริเวณเป้าหมาย ส่วนการฉีดฟิลเลอร์เริ่มจากการประเมินใบหน้าเช่นกัน แต่จะทายาชาก่อนฉีด และหลังฉีดจะมีการนวดเพื่อให้ฟิลเลอร์กระจายตัวสม่ำเสมอ |
ระยะเวลา/ผลลัพธ์ | เห็นผลทันทีหลังฉีด แต่การฉีดไขมันจะมีอาการบวมนานกว่า คือ 1-2 สัปดาห์ และต้องรอ 3-6 เดือนเพื่อเห็นผลลัพธ์สุดท้าย โดยไขมันจะอยู่รอดประมาณ 50-70% ส่วนฟิลเลอร์จะบวมเพียง 3-7 วัน และผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 6-18 เดือน |
ความเสี่ยง ผลข้างเคียง | ทั้งสองวิธีมีความเสี่ยงในการติดเชื้อและการอุดตันในเส้นเลือด แต่พบได้น้อยมาก การฉีดไขมันอาจมีปัญหาเรื่องผลลัพธ์ไม่สม่ำเสมอเนื่องจากไขมันบางส่วนถูกดูดซึม ส่วนฟิลเลอร์อาจมีการแพ้หรือเกิดก้อน แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดเอนไซม์สลาย |
ราคา ค่าใช้จ่าย | การฉีดไขมันมีค่าใช้จ่ายสูงในครั้งแรกประมาณ 50,000-150,000 บาท และอาจต้องทำซ้ำ 2-3 ครั้ง ในขณะที่ฟิลเลอร์มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งที่ถูกกว่า คือ 15,000-50,000 บาท แต่ต้องทำซ้ำเป็นระยะเพื่อรักษาผลลัพธ์ |
ตำแหน่งที่การฉีด | การฉีดไขมันเหมาะสำหรับการเพิ่มปริมาตรในบริเวณกว้าง เช่น แก้ม หน้าผาก และคาง เนื่องจากสามารถฉีดได้ปริมาณมาก ส่วนฟิลเลอร์จะเหมาะกับการแก้ไขจุดเล็กๆ เช่น ร่องแก้ม ริมฝีปาก และใต้ตา |
ระดับความแข็ง / เนื้อสัมผัส | การฉีดไขมันให้ความรู้สึกนุ่มและเป็นธรรมชาติมากกว่า เพราะเป็นเนื้อเยื่อของตัวเอง เมื่อเวลาผ่านไปจะกลมกลืนกับเนื้อเยื่อโดยรอบอย่างสมบูรณ์ ส่วนฟิลเลอร์จะมีความแข็งมากกว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะชนิดที่มีความหนืดสูง แต่สามารถเลือกระดับความแข็ง-นุ่มได้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ |
การพักฟื้น | การฉีดไขมันต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า คือ 1-2 สัปดาห์ ต้องใส่ชุดรัดบริเวณที่ดูดไขมัน และงดออกกำลังกายหนัก 2-3 สัปดาห์ ส่วนฟิลเลอร์ใช้เวลาพักฟื้นเพียง 1-2 วัน แต่ควรงดนวดหน้า 1-2 สัปดาห์ และงดออกกำลังกาย 1-2 วันเท่านั้น |