ฟิลเลอร์ร่องแก้มเหมาะกับใคร เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา ร่องแก้มลึกเป็นสัญญาณเตือนความเสื่อมของผิวที่มองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในผู้หญิง การวิจัยพบว่าเมื่ออายุเกิน 25 ปี คอลลาเจนในผิวจะเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดร่องลึกบริเวณแก้มที่ทำให้ใบหน้าดูมีอายุมากกว่าความเป็นจริง บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับฟิลเลอร์ร่องแก้ม กลุ่มคนที่เหมาะสม ข้อดีข้อเสีย รวมถึงเคล็ดลับการเลือกสถานพยาบาลและคำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีด
ฟิลเลอร์ร่องแก้มคืออะไร และการทำงานของฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ร่องแก้มคือการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อแก้ไขปัญหารอยร่องแก้มบนใบหน้า สารที่ใช้คือกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในผิวหนังอยู่แล้วตามธรรมชาติ หลักการทำงานคือการเข้าไปเติมเต็มช่องว่างในเซลล์ผิวที่เกิดจากการเสื่อมของคอลลาเจน ทำให้ร่องลึกตื้นขึ้นอย่างทันที
สาเหตุของร่องแก้มลึกมีหลายประการ ได้แก่
- การลดลงของปริมาณกระดูกบริเวณร่องแก้มเมื่ออายุมากขึ้น
- ไขมันบริเวณแก้มมีปริมาณมากเกินไป
- กล้ามเนื้อบริเวณร่องแก้มทำงานมากเกินไป
- กล้ามเนื้อและเอ็นบริเวณแก้มหย่อนลง
- ผิวหนังขาดความชุ่มชื้นจนเกิดรอยพับเป็นร่อง
การฉีดฟิลเลอร์ไม่ได้แก้ได้ทุกสาเหตุ แต่เหมาะกับปัญหาที่เกิดจากกระดูกลดลง กล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป และผิวขาดความชุ่มชื้น
- ผู้ที่มีร่องแก้มลึกไม่มาก – เหมาะสำหรับคนที่มีร่องแก้มในระดับที่ยังแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ ไม่ลึกมากเกินไปจนต้องใช้วิธีอื่น
- ผู้ที่มีปัญหากระดูกใต้ตาและร่องแก้มลดลง – สามารถใช้ฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแข็ง เพื่อเติมฐานกระดูกที่หายไป ซึ่งจะช่วยดันไขมันและเอ็นกลับเข้าที่
- ผู้ที่มีผิวแห้งจนเกิดรอยที่ร่องแก้ม – ฟิลเลอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
- ผู้ที่มีร่องแก้มจากกล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป – สามารถใช้ฟิลเลอร์ร่วมกับโบท็อกเพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อและเติมเต็มร่อง
- ผู้ที่ต้องการเห็นผลทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้น – การฉีดฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ทันทีและไม่ต้องพักฟื้นนาน สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
ไม่จำเป็นต้องมีอายุมากถึงจะฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม หากมีร่องแก้มที่ชัดเจนจนขาดความมั่นใจก็สามารถทำได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเพื่อพิจารณาความเหมาะสม
ข้อดี
- เห็นผลทันที – สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น
- มีความปลอดภัยสูง – ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. มีความปลอดภัย และโอกาสแพ้น้อยเนื่องจากเป็นสารที่มีในร่างกายอยู่แล้ว
- ไม่เจ็บมาก – ฟิลเลอร์หลายยี่ห้อมีส่วนผสมของยาชา และแพทย์มักจะใช้ยาชาก่อนทำ
- ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น – มีเพียงรอยเข็มเล็กน้อยที่หายภายใน 1-3 วัน
- สามารถสลายได้เอง – หากไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถรอให้ฟิลเลอร์สลายเองหรือฉีดน้ำยาสลายฟิลเลอร์ได้
ข้อเสีย
- ผลไม่ถาวร – ฟิลเลอร์สลายได้เองในร่างกาย อยู่ได้ประมาณ 12-24 เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่น
- ต้องฉีดซ้ำ – ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฉีดเติมเมื่อฟิลเลอร์สลายไป
- อาจเกิดผลข้างเคียง – หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ อาจเกิดปัญหาเช่น เนื้อฟิลเลอร์เป็นก้อน หรือเกิดการอักเสบ
การเตรียมตัวก่อนฉีด
- งดผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อการผลัดผิว – ควรงด 1 สัปดาห์ก่อนฉีด
- งดยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด – เช่น แอสไพริน หรือยากลุ่ม NSAIDs อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารหมักดอง – ควรงด 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เพื่อป้องกันการอักเสบ
- แจ้งประวัติโรคประจำตัวและยาที่ใช้ – ให้แพทย์ทราบเพื่อความปลอดภัย
การดูแลหลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด – ไม่ควรจับหรือนวดบริเวณที่ฉีด 2-3 วันแรก เพื่อป้องกันฟิลเลอร์เคลื่อน
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ – อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังฉีด
- หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือคว่ำหน้า – ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
- ดื่มน้ำให้มาก – เพื่อให้ฟิลเลอร์ทำงานได้ดี
- หลีกเลี่ยงความร้อน – งดอบซาวน่าหรืออยู่ในที่ร้อนจัดประมาณ 1 เดือน
- งดการทำเลเซอร์ทุกชนิด – ในช่วง 1 เดือนแรก เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็ว
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ อาจมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะหายไปเองภายใน 1-3 วัน ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะเห็นหลังจากฉีดไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อฟิลเลอร์เข้าที่
บทสรุป
ฟิลเลอร์ร่องแก้มเหมาะกับใคร หนึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาร่องแก้มลึกและต้องการแก้ไขอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ถาวร แต่ข้อดีคือความปลอดภัยและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าเมื่ออายุมากขึ้น
ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรศึกษาข้อมูลให้ดีและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสาเหตุของร่องแก้มและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือฉีดกับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น