การฉีด ฟิลเลอร์ขมับเจ็บไหม ตอบคำถามสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นใจก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ การฉีดฟิลเลอร์ขมับเป็นหัตถการยอดนิยมที่ช่วยแก้ไขปัญหาขมับตอบ ขมับยุบ และปรับรูปหน้าให้ดูหวานละมุนขึ้น แต่ความกังวลเรื่องความเจ็บปวดยังคงเป็นข้อสงสัยหลักของผู้ที่สนใจ บทความนี้จะตอบทุกคำถามเกี่ยวกับความเจ็บปวดจากการฉีดฟิลเลอร์ขมับ พร้อมเทคนิคลดความเจ็บให้มีข้อมูลครบถ้วนก่อนตัดสินใจ
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ขมับ มีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่สามารถทนได้ เพราะปัจจุบันมีเทคนิคและวิธีการลดความเจ็บปวดที่ทันสมัย ระดับความเจ็บจากการฉีดฟิลเลอร์ขมับจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 จาก 10 โดยความรู้สึกจะคล้ายกับการถูกเข็มแทงเบา ๆ หรือการถูกมดกัด ซึ่งแตกต่างจากการฉีดฟิลเลอร์บริเวณอื่นเพราะบริเวณขมับมีเส้นประสาทค่อนข้างเยอะ ทำให้ไวต่อความรู้สึกมากกว่าบริเวณอื่น
อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดนี้จะอยู่ได้เพียงช่วงสั้น ๆ ขณะที่แพทย์ทำการฉีด และจะหายไปทันทีหลังจากเสร็จสิ้นหัตถการ ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่รุนแรงจนทนไม่ได้แต่อย่างใด
การใช้ยาชาเฉพาะที่
ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ขมับ แพทย์จะแปะยาชาเฉพาะที่บริเวณขมับประมาณ 15-20 นาที เพื่อให้ยาชาซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟิลเลอร์ที่ผสมยาชา
ฟิลเลอร์หลายยี่ห้อในปัจจุบันมีการผสมยาชา (Lidocaine) ไว้ในตัวฟิลเลอร์แล้ว เช่น Juvederm และ Restylane ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวดขณะฉีดได้มากขึ้น ยาชาจะออกฤทธิ์ทันทีที่ฟิลเลอร์เข้าสู่ผิวหนัง
| อ่านเพิ่มเติม ฟิลเลอร์ขมับยี่ห้อไหนดี เปรียบเทียบคุณสมบัติ สำหรับผู้เริ่มต้นฉีดครั้งแรก
เทคนิคการฉีดของแพทย์
แพทย์ที่มีประสบการณ์จะใช้เทคนิคการฉีดที่ช่วยลดความเจ็บปวด ดังนี้
- การฉีดด้วยความเร็วที่เหมาะสม – การฉีดที่ช้าเกินไปจะทำให้รู้สึกเจ็บนาน ในขณะที่การฉีดเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดแรงกระแทกที่เจ็บมากขึ้น แพทย์ที่ชำนาญจะรู้จักปรับความเร็วให้เหมาะสมกับแต่ละบริเวณ
- การใช้เข็มที่มีขนาดเล็กและคมกริบ – เข็มขนาด 27-30 gauge จะช่วยลดความเจ็บปวดเมื่อแทงผิวหนัง และเข็มที่คมกริบจะแทงผ่านผิวหนังได้ง่ายกว่าเข็มที่ทื่อ ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลง
- การฉีดในมุมที่ถูกต้อง – การฉีดในมุม 30-45 องศาจะช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าสู่ชั้นผิวหนังได้อย่างราบรื่น และลดการกระแทกของเข็มกับเส้นประสาท
- การแบ่งการฉีดเป็นจุดเล็กๆ หลายจุด – แทนที่จะฉีดปริมาณมากในจุดเดียว แพทย์จะแบ่งฉีดเป็นหลายจุดเล็กๆ ซึ่งช่วยลดแรงดันและความเจ็บปวดในแต่ละจุด
-
ความไวต่อความเจ็บปวดของแต่ละคน
ทุกคนมีระดับความทนต่อความเจ็บปวดที่แตกต่างกัน บางคนอาจรู้สึกเจ็บน้อยมาก ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกเจ็บมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความไวต่อความเจ็บ ได้แก่ พันธุกรรม ประสบการณ์เดิมในการรับความเจ็บปวด สภาพจิตใจ และระดับความเครียด ผู้ที่เคยทำฟิลเลอร์มาก่อนมักจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่าครั้งแรก เพราะทราบว่าควรคาดหวังอะไร
-
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้
ยิ่งใช้ฟิลเลอร์เยอะ เวลาในการฉีดยิ่งนาน ความรู้สึกเจ็บก็อาจยืดเยื้อนานขึ้น โดยทั่วไปการฉีดฟิลเลอร์ขมับจะใช้ประมาณ 1-4 cc ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน หากขมับตอบน้อยอาจใช้เพียง 1-2 cc แต่หากขมับยุบมากอาจต้องใช้ถึง 3-4 cc การฉีดในปริมาณมากจะต้องใช้เวลานานกว่า และอาจต้องเปลี่ยนตำแหน่งการฉีดหลายครั้ง
-
ช่วงเวลาที่ฉีด
ผู้หญิงในช่วงก่อนมีประจำเดือนอาจรู้สึกเจ็บมากกว่าปกติ เนื่องจากฮอร์โมนทำให้ร่างกายไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่อความรู้สึกปวด นอกจากนี้ การนอนไม่เพียงพอ ความเครียด หรือการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนหน้านี้ก็อาจทำให้รู้สึกเจ็บมากขึ้น
-
ประสบการณ์ของแพทย์
แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถฉีดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งช่วยลดเวลาและความเจ็บปวดได้ แพทย์ที่ชำนาญจะรู้จักจุดที่มีเส้นประสาทน้อย รู้วิธีการกระจายแรงดัน และสามารถคาดการณ์ปฏิกิริยาของผู้ป่วยได้ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการทำให้ผู้ป่วยผ่อนคลายและลดความตึงเครียดด้วย
อาการทันทีหลังฉีด
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ขมับเสร็จ อาจรู้สึกได้ถึงอาการดังต่อไปนี้
- ตึงเล็กน้อยบริเวณขมับ – เป็นอาการปกติที่เกิดจากฟิลเลอร์ที่เพิ่งเข้าไปในชั้นผิวหนัง ความรู้สึกตึงนี้จะค่อยๆ ลดลงภายใน 2-3 วัน เมื่อฟิลเลอร์เริ่มปรับตัวเข้ากับเนื้อเยื่อ
- บวมเล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปกติ – การบวมเกิดจากการที่ฟิลเลอร์ดึงน้ำเข้ามารอบตัว และเป็นปฏิกิริยาการอักเสบเล็กน้อยจากการแทงเข็ม อาการบวมนี้จะมากที่สุดในวันแรก-วันที่สอง
- ปวดหัวเล็กน้อยในบางราย – เกิดจากการที่มีสารแปลกปลอมเข้าไปในบริเวณที่มีเส้นประสาทเยอะ อาการปวดหัวนี้มักไม่รุนแรงและสามารถบรรเทาด้วยยาแก้ปวดทั่วไปได้
อาการใน 24-48 ชั่วโมงแรก
- อาการบวมอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย – นี่เป็นช่วงที่ฟิลเลอร์ดูดซับน้ำมากที่สุด ทำให้ขมับดูบวมชัดเจนกว่าวันแรก แต่จะเริ่มลดลงหลังจากนั้น การประคบเย็นจะช่วยลดอาการบวมได้
- อาจมีรอยช้ำจากเข็มที่จะหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์ – รอยช้ำเกิดจากการที่เข็มทำลายหลอดเลือดฝอยเล็กๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบางหรือหลอดเลือดฝอยแตกง่าย
- ความรู้สึกตึงหรือปวดจะค่อยๆ ลดลง – เมื่อเนื้อเยื่อเริ่มยอมรับฟิลเลอร์ และกระบวนการอักเสบเริ่มสงบลง ความรู้สึกไม่สบายจะค่อยๆ หายไป
การบรรเทาอาการหลังฉีด
- ประคบเย็นบริเวณขมับ 10-15 นาที ทุกชั่วโมงในวันแรก – ความเย็นจะช่วยหดตัวของหลอดเลือด ลดการบวม และชาความรู้สึกเจ็บปวด ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งหรือเจลเย็น อย่าให้น้ำแข็งสัมผัสผิวหนังโดยตรง
- รับประทานยาแก้ปวดตามที่แพทย์แนะนำ – ส่วนใหญ่จะเป็นพาราเซตามอลหรือไอบูโปรเฟน หลีกเลี่ยงแอสไพรินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงข้างที่ฉีดฟิลเลอร์ – เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่หรือเสียรูป ควรนอนหงายหรือเอียงไปอีกข้างหนึ่ง
- ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์คงสภาพได้ดี – ฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิกแอซิดมีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำ การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ฟิลเลอร์อิ่มฟูและอยู่ได้นานขึ้น
เลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญ
- มีใบประกอบวิชาชีพแพทย์ – ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพทย์ผู้ทำการรักษามีใบประกอบวิชาชีพที่ถูกต้องและยังไม่หมดอายุ สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์แพทยสภา
- มีประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์ขมับเป็นพิเศษ – ขมับเป็นบริเวณที่ต้องใช้ความชำนาญสูง ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะด้าน และมีผลงานที่ผ่านมาให้ดูได้
- รู้จักโครงสร้างกายวิภาคบริเวณใบหน้าเป็นอย่างดี – แพทย์ต้องเข้าใจตำแหน่งของเส้นเลือด เส้นประสาท และกล้ามเนื้อในบริเวณขมับ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอันตราย
- มีการติดตามและดูแลหลังการรักษา – แพทย์ที่ดีจะมีระบบติดตามผลและให้คำแนะนำการดูแลหลังการทำหัตถการ
ใช้ฟิลเลอร์ของแท้
- เลือกฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. – ฟิลเลอร์ที่ใช้ในประเทศไทยต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มีเลขทะเบียนที่ชัดเจน
- สามารถตรวจสอบความแท้ของฟิลเลอร์ได้ – ฟิลเลอร์แท้จะมีบาร์โค้ด QR Code หรือระบบตรวจสอบความแท้ที่สามารถเช็คได้ผ่านเว็บไซต์ของผู้ผลิต
- หลีกเลี่ยงฟิลเลอร์ราคาถูกผิดปกติ – ราคาที่ถูกเกินไปอาจเป็นสัญญาณของฟิลเลอร์ปลอม หรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
บทสรุป
ฟิลเลอร์ขมับเจ็บไหม ? คำตอบคือเจ็บเล็กน้อย แต่สามารถทนได้และมีวิธีลดความเจ็บปวดหลายวิธี ความเจ็บปวดจะอยู่ได้เพียงช่วงสั้น ๆ ขณะทำหัตถการเท่านั้น และหายไปทันทีหลังจากเสร็จสิ้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย หากกังวลเรื่องความเจ็บปวด ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีลดความเจ็บก่อนทำหัตถการก่อนได้นะคะ