ปัญหาใต้ตาคงเป็นความกังวลอันดับต้น ๆ ของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นรอยคล้ำ ร่องลึก หรือถุงใต้ตาที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเพลีย แก่กว่าวัย สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตา การ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตารีวิว จากผู้ที่เคยฉีดมาก่อนจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าควรทำหรือไม่ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดหวังหรือไหม
บทความนี้จะรวบรวม ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตารีวิว อย่างละเอียด พร้อมภาพก่อน-หลัง ความรู้สึกระหว่างฉีดรักษา การดูแลหลังทำ รวมถึงข้ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ ในบทความนี้จะช่วยให้ได้ข้อมูลครบถ้วนจากผู้มีประสบการณ์จริงก่อนตัดสินใจว่าทางเลือกนี้เหมาะกับคุณหรือไม่ มาเริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากันเลยค่ะ
ฟิลเลอร์ (Filler) ที่ใช้ฉีดใต้ตาส่วนใหญ่เป็นสารประเภทกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ทำหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื้นและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง เมื่อฉีดเข้าไปในบริเวณใต้ตา สารนี้จะช่วยเติมเต็มร่องลึก เพิ่มปริมาตรในส่วนที่หย่อนคล้อย และช่วยให้ผิวดูเต่งตึงขึ้น
หลักการทำงานของฟิลเลอร์
หลักการทำงานของฟิลเลอร์ใต้ตาคือการเติมเต็มปริมาตรที่สูญเสียไปจากการเสื่อมของเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นผลมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ฮอร์โมน หรือพันธุกรรม โดยแพทย์จะฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังบริเวณที่มีร่องลึกหรือบริเวณที่ต้องการเพิ่มปริมาตร ทำให้เกิดการเติมเต็มและยกกระชับบริเวณใต้ตา ลดเงาที่ทำให้เกิดรอยคล้ำ และทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
สารฟิลเลอร์ประเภท HA มีข้อดีคือสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และหากเกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ แพทย์สามารถฉีดเอนไซม์ Hyaluronidase เพื่อสลายฟิลเลอร์ได้ทันที ทำให้มีความปลอดภัยสูงกว่าฟิลเลอร์ชนิดถาวร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสามารถสลายได้ ผลลัพธ์จึงอยู่ได้ชั่วคราว โดยเฉลี่ยประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
- ร่องลึกใต้ตา – ฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มร่องลึกที่เกิดขึ้นระหว่างเบ้าตาและแก้ม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเพลียและแก่กว่าวัย การเติมเต็มร่องนี้จะช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น
- รอยคล้ำใต้ตาที่เกิดจากเงา – รอยคล้ำใต้ตาบางประเภทเกิดจากเงาที่ตกกระทบจากร่องลึก การเติมฟิลเลอร์จะช่วยลดเงาเหล่านี้ ทำให้บริเวณใต้ตาดูสว่างขึ้น อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์ไม่สามารถแก้ไขรอยคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีหรือหลอดเลือดใต้ผิวหนังได้
- ถุงใต้ตาเล็กน้อย – ในกรณีที่มีถุงใต้ตาไม่มาก ฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มบริเวณรอบ ๆ ถุงใต้ตาให้มีระดับเท่ากัน ทำให้ถุงใต้ตาดูลดเลือนลง
- การสูญเสียปริมาตรบริเวณใต้ตา – เมื่ออายุมากขึ้น เราจะสูญเสียไขมันและเนื้อเยื่อสนับสนุนบริเวณใต้ตา ทำให้ผิวดูหย่อนคล้อยและแก่กว่าวัย ฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มปริมาตรที่สูญเสียไปนี้ได้
- การปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหาและพิจารณาความเหมาะสมก่อนฉีด
- งดการใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน ยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS ได้แก่ Ibruprofen, Naproxen อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการฉีด
- งดวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากโสม กระเทียม ใบแปะก๊วยและขิง เป็นเวลา 2 สัปดาห์
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-3 วัน ก่อนการฉีด
- งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น เข้าซาวน่า หรือ ออกกำลังกายหนัก
- หากต้องทำการเลเซอร์ในบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ ควรทำก่อนอย่างน้อย 3 วัน
- ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง ไม่ได้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
การเตรียมตัวที่ดีไม่เพียงช่วยให้กระบวนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจอีกด้วย
สำหรับระดับความเจ็บปวดระหว่างการฉีดจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีความเจ็บปวดในระดับปานกลาง บางคนอาจรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกเจ็บมากกว่า ซึ่งต่างก็มีปัจจัยที่มีผลต่อความเจ็บปวดมีหลายประการ ดังนี้
- ความไวต่อความเจ็บปวดของแต่ละบุคคล – บางคนมีความทนต่อความเจ็บปวดได้มากกว่าคนอื่น
- ประสบการณ์ของแพทย์ – แพทย์ที่มีประสบการณ์มักจะสามารถฉีดได้อย่างนุ่มนวลและรวดเร็วกว่า
- การใช้ยาชา – ปัจจุบันฟิลเลอร์หลายชนิดมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ซึ่งช่วยลดความเจ็บปวดได้มาก นอกจากนี้ แพทย์ยังสามารถทายาชาเฉพาะที่ก่อนการฉีดเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดเพิ่มเติมได้อีกด้วย
- เทคนิคการฉีด – การใช้แคนนูล่า (Cannula) แทนเข็มสามารถช่วยลดความเจ็บปวดและรอยช้ำได้
ระยะเวลาการฟื้นตัว
การฟื้นตัวหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาค่อนข้างรวดเร็วเมื่อเทียบกับการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม หลังการฉีดก็มีผลข้างเคียงที่อาจพบได้
ช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
- อาการบวมแดงในบริเวณที่ฉีด
- อาจมีรอยช้ำเล็กน้อย โดยเฉพาะในคนที่มีผิวบอบบางหรือมีเส้นเลือดชัดเจน
- ความรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บเล็กน้อยเมื่อสัมผัส
ช่วง 3-7 วัน
- อาการบวมส่วนใหญ่จะหายไป
- รอยช้ำ (ถ้ามี) จะเริ่มจางลง
- อาจสังเกตเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นได้ชัดเจนขึ้น
ช่วง 1-2 สัปดาห์
- อาการบวมและรอยช้ำทั้งหมดควรหายไป
- ฟิลเลอร์จะเริ่มผสานกับเนื้อเยื่อและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดขึ้น
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือ สามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันทีหลังการฉีด ไม่จำเป็นต้องลางานหรือพักฟื้นเป็นเวลานาน
- 24-48 ชั่วโมงแรก: หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
- ประคบเย็น: ใช้น้ำแข็งประคบเบา ๆ 5-10 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมงในวันแรก เพื่อลดอาการบวมและช้ำ
- นอนหงายยกศีรษะสูง: ในคืนแรกแนะนำนอนศีรษะสูงเพื่อลดอาการบวม
- งดออกกำลังกายหนัก: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เลือดไหลเวียนเร็วขึ้น เช่น วิ่ง ยกน้ำหนัก เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงอุณหภูมิสูง: งดเข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรืออาบน้ำร้อนเป็นเวลา 1-2 วัน
- งดแอลกอฮอล์: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้อาการบวมและจ้ำเลือดแย่ลง
- หลีกเลี่ยงยาต้านการอักเสบ: งดรับประทานแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาต้านการอักเสบอื่นๆ เป็นเวลา 1 สัปดาห์
- ทาครีมกันแดด: ปกป้องผิวบริเวณที่ฉีดด้วยครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป
- อาการบวม: เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุด มักเกิดขึ้นทันทีหลังฉีดและอยู่ได้นาน 2-7 วัน
- รอยช้ำ: อาจเกิดรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณจุดฉีด ซึ่งมักหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์
- อาการแดง: ผิวบริเวณที่ฉีดอาจแดงเล็กน้อย แต่มักหายไปภายใน 24-48 ชั่วโมง
- ปวดหรือไม่สบาย: อาจมีความรู้สึกปวดเล็กน้อยหรือรู้สึกแน่นบริเวณที่ฉีด
- การอุดตันเส้นเลือด: ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมาก แต่อันตรายมาก อาจทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อได้ ต้องได้รับการรักษาทันที
- การติดเชื้อ: พบได้น้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้หากมีการปนเปื้อนขณะทำหัตถการ
- ปฏิกิริยาแพ้: ผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบในฟิลเลอร์อาจเกิดอาการแพ้ได้
*สำคัญ ก่อนทำการฉีด แนะนำให้แจ้งแพทย์ทีทำการรักษาทุกครั้งว่ามีโรคประจำตัวหรือรับประทานยาประจำ
ข้อควรระวังที่ควรพิจารณา
ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรพิจารณาประเด็นต่าง ๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและให้มั่นใจว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากบริเวณใต้ตาเป็นพื้นที่บอบบาง มีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาก การฉีดฟิลเลอร์จึงต้องการความระมัดระวังและความเชี่ยวชาญสูง การทำความเข้าใจข้อควรระวังเหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบมากขึ้น
- การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: การฉีดบริเวณใต้ตาเป็นเทคนิคที่ละเอียดอ่อน ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ
- การเลือกคลินิก: ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตการประกอบกิจการสถานพยาบาลถูกต้อง มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สะอาด ปลอดภัย และมีการจัดการฉุกเฉินหากเกิดภาวะแทรกซ้อน คลินิกควรมีความโปร่งใสในเรื่องผลิตภัณฑ์ที่ใช้และราคา
- ข้อห้ามทางการแพทย์: บางกรณีไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ เช่น ผู้ที่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีการติดเชื้อที่ใบหน้า
- ความคาดหวังที่เหมาะสม: ฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยลดเลือนร่องลึกและรอยคล้ำบางประเภทได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขทุกปัญหาใต้ตา โดยเฉพาะถุงใต้ตาที่เกิดจากไขมันมากเกินไป
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร: ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ สลายไปตามธรรมชาติภายใน 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และปัจจัยการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล
- ค่าใช้จ่าย: เป็นการรักษาที่ต้องทำซ้ำเป็นระยะ จึงควรพิจารณาค่าใช้จ่ายระยะยาว
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขร่องลึกใต้ตาหรือรอยคล้ำบางประเภทโดยไม่ต้องผ่าตัด “ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตารีวิว” จากผู้ที่เคยรับบริการส่วนใหญ่ยืนยันว่าให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันทีและมีระยะพักฟื้นน้อย อย่างไรก็ตาม การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลหลังทำอย่างเคร่งครัด และการมีความคาดหวังที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากขึ้น
สำหรับใครที่กำลังสนใจ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิลเลอร์โดยตรง เพื่อประเมินว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับปัญหาหรือไม่ และอาจพิจารณาทางเลือกอื่นร่วมด้วย เช่น ครีมบำรุงผิว การใช้เลเซอร์ หรือวิธีการรักษาอื่นๆ ตามคำแนะนำของแพทย์