การดูแลผิวให้ดูอ่อนเยาว์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนยุคปัจจุบัน และนวัตกรรมฟิลเลอร์ใหม่ล่าสุดอย่าง HArmonyCa กำลังได้รับความนิยม หลายคนสงสัยว่า HArmonyCa อยู่ได้นานแค่ไหน และทำไมจึงแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ HArmonyCa พร้อมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับระยะเวลาที่ผลลัพธ์จะคงอยู่ และปัจจัยที่มีผลต่อความคงทนของการรักษา
HArmonyCa คืออะไร และมีความพิเศษอย่างไร
HArmonyCa เป็นฟิลเลอร์ไฮบริดนวัตกรรมใหม่จากบริษัท Allergan ประเทศอเมริกา ที่มีความโดดเด่นด้วยส่วนผสมพิเศษ 2 ชนิด ได้แก่ Hyaluronic Acid (HA) 70% และ Calcium Hydroxyapatite (CaHA) 30% การผสมผสานสารทั้งสองทำให้ HArmonyCa มีคุณสมบัติที่เหนือกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป เพราะไม่เพียงแต่เติมเต็มและให้ความชุ่มชื้น แต่ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาวอีกด้วย
ส่วนประกอบสำคัญทั้งสองตัวทำงานร่วมกันดังนี้
- Hyaluronic Acid (HA) – ทำหน้าที่เติมเต็มริ้วรอย เพิ่มปริมาตร และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวในทันที
- Calcium Hydroxyapatite (CaHA) – กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง เสริมความแข็งแรงให้โครงสร้างผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่นและกระชับในระยะยาว
HArmonyCa อยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน มีความพิเศษที่ทำให้อยู่ได้นานคือกลไกการทำงานแบบให้ผลลัพธ์สองระยะ
- ระยะแรก (1-2 เดือน) – Hyaluronic Acid ทำงานทันทีหลังฉีด ช่วยเติมเต็มริ้วรอย เพิ่มปริมาตรให้ผิว ทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟูและมีมิติทันที
- ระยะยาว (2-18 เดือน) – Calcium Hydroxyapatite เริ่มทำงานกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิวหนัง ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่ได้มาจากตัวฟิลเลอร์เพียงอย่างเดียว แต่มาจากคอลลาเจนที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ
ถึงแม้ว่า Hyaluronic Acid จะค่อย ๆ สลายไปตามเวลา แต่คอลลาเจนใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นจาก CaHA จะยังคงอยู่และทำให้ผลลัพธ์ของการฉีด HArmonyCa อยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป
- อายุและสภาพผิว – ผู้ที่มีอายุมากกว่าหรือมีผิวที่เสื่อมสภาพมาก อาจเห็นว่าผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่าคนที่อายุน้อยกว่า เนื่องจากร่างกายมีการสร้างคอลลาเจนที่ช้าลง
- บริเวณที่ฉีด – แต่ละพื้นที่บนใบหน้ามีการเคลื่อนไหวและการไหลเวียนของเลือดที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการคงอยู่ของ HArmonyCa เช่น บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น โหนกแก้ม ฟิลเลอร์มักจะอยู่ได้นานกว่าบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมาก
- ปริมาณที่ฉีด – ปริมาณ HArmonyCa ที่มากกว่า อาจให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานกว่า แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์
- การดูแลผิวหลังฉีด – ผู้ที่มีการดูแลผิวที่ดี หลีกเลี่ยงแสงแดด และมีไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพ จะมีแนวโน้มที่จะรักษาผลลัพธ์ของ HArmonyCa ได้นานกว่า
- เทคนิคการฉีด – ความเชี่ยวชาญของแพทย์และเทคนิคที่ใช้ในการฉีด มีผลต่อการกระจายตัวและการคงอยู่ของ HArmonyCa
| อ่านเพิ่มเติม การดูแลผิวหลังฉีด HArmonyCa
ผลิตภัณฑ์ | ระยะเวลา | อื่น ๆ |
---|---|---|
ฟิลเลอร์ HA ทั่วไป | อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน | เน้นการเติมเต็ม ผิวอิ่มฟู |
Sculptra (PLLA) | อยู่ได้ประมาณ 24-25 เดือน | เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนเป็นหลัก ต้องฉีดหลายครั้ง (2-3 ครั้ง) และต้องรอ 4-6 สัปดาห์จึงจะเห็นผล |
Radiesse (CaHA) | อยู่ได้ประมาณ 18-24 เดือน | มีคุณสมบัติกระตุ้นคอลลาเจนคล้าย HArmonyCa แต่ไม่มี HA จึงไม่ให้ความชุ่มชื้นและอาจให้ความรู้สึกแข็งกว่า |
HArmonyCa | อยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน | ผสมผสานข้อดีของทั้ง HA และ CaHA ให้ผลลัพธ์ทันทีและยังกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว ฉีดเพียงครั้งเดียวก็เห็นผล |
- การดูแลผิวหลังฉีด – ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงการกดหรือนวดบริเวณที่ฉีดใน 1-2 สัปดาห์แรก และงดการทำทรีตเมนต์ใด ๆ บนใบหน้า 2 สัปดาห์
- ป้องกันแสงแดด – ใช้ครีมกันแดด SPF 50+ เป็นประจำ เนื่องจากรังสี UV เร่งการเสื่อมของคอลลาเจนและ HA
- รักษาความชุ่มชื้นให้ผิว – ดื่มน้ำให้เพียงพอและใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มี HA เพื่อเสริมความชุ่มชื้น
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำลายคอลลาเจน – ลด หรืองดการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งเร่งการเสื่อมของคอลลาเจน
- ฉีดเสริมในเวลาที่เหมาะสม – แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดเสริมเมื่อเริ่มเห็นว่าผลลัพธ์ลดลง ซึ่งมักจะเป็นช่วง 12-15 เดือนหลังฉีด เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ต่อเนื่อง
บทสรุป
HArmonyCa อยู่ได้นานแค่ไหน คำตอบคือ 12-18 เดือน ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ทั่วไป เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วนทั้งการเติมเต็มทันทีและการกระตุ้นคอลลาเจนระยะยาว ซึ่งช่วยชะลอการเสื่อมของผิวและลดความถี่ในการฉีดซ้ำ
HArmonyCa เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน โดยไม่ต้องฉีดบ่อยเหมือนฟิลเลอร์ทั่วไป หรือรอผลลัพธ์นานเหมือน Sculptra แต่ยังได้ประโยชน์จากการกระตุ้นคอลลาเจนเช่นเดียวกับ Radiesse อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมาจากการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล รวมถึงการดูแลผิวอย่างถูกวิธีหลังการฉีด